วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

ไม่ใช่แค่กินสูตรนมสดและมะเขือเทศบำรุงผิว

   

           ตอนนี้กระแสการดื่มน้ำมะเขือเทศกำลังมาแรงในกลุ่มสาวๆวัยรุ่น  ทำให้หลายคนตื่นตัวและหาน้ำมะเขือเทศมาทานกันถึงขนาดเรียกได้ว่าเป็นมหากาพย์น้ำมะเขือเทศเลยที่เดียว  แต่ละคนก็จะเลือกทานในแบรน์ที่ตัวเองชื่นชอบ แต่ที่เรียกได้ว่าฮอตที่สุดในตอนนี้คงจะไม่มีใครเกิน  "น้ำมะเขือเทศดอยคำ"
           แต่เอ๊ะ.... นอกจากน้ำมะเขือเทศที่เราดื่มแล้ว มันยังมีวิธีอื่นที่ช่วยบำรุงผิวเรายังมีสูตรนมสดและน้ำมะเขือเทศที่ช่วยบำรุงผิวให้สาวๆ ถึงคราวที่สาวๆ ที่รักการดูแลสุขภาพผิวจะพลาดไม่ได้กับสูตรเด็ดที่ทาง http://naturalhealththailand.blogspot.com/ ได้คัดสรรมาฝาก




(ยกตัวอย่างนม  ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ทางการค้าแต่อย่างใด)



ส่วนผสม

       1  มะเขือเทศสุก  
       2  นมสด (หาได้ง่ายๆ  ตามร้านสะดวกซื้อ)       
 อัตราส่วน 1:1


วิธีทำ

             นำมะเขือเทศไปบดหรือยีให้เละพอประมาณ แล้วกรองน้ำมะเขือเทษออกด้วยผ้าขาวบาง หลังจากนั้นแยกฟองออกให้ได้น้ำมะเขือเทศได้ปริมาณเท่ากันกับนม นำ 2 อย่างมาผสมกัน แล้วใส่ในภาชนะ หรือขวดปิดฝาให้แน่น นำไปแช่ในช่องฟริช (หรือแช่ตู้เย็นเพื่อให้ส่วนผสมทั้งสองมีความเย็น)  หลังจากนั้นใช้สำลีแผ่นชุบน้ำมะเขือเทศกับนมสดที่เราทำไว้ทาให้ทั่วบนใบหน้าและลำคอ (หรือบริเวณใดก็ได้ที่เราต้องการ) ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำแร่ หรือน้ำอุ่น แล้วค่อยล้างด้วยน้ำเย็นตาม สุตรนี้สาวๆควรทำประมาณ 1-2 ครั้งต่อวันจะเห็นผลเร็วขึ้น 

             *หากใช้เสร็จควรนำกลับไปแช่ในตู้เย็นจะสามารถใช้ได้หลายวัน
               ที่มา : (be well นิตยาสารสุขภาพรายเดือน,2554:36)




วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558

สมุนไพรมหัศจรรย์น้ำคลอโรฟิลล์จากผัก 3 ชนิด



        สวัสดีครับ.....กลับมาเจอกันอีกหลังจากที่หายไปนาน  จนวันนี้ได้กลับมาเขียนบทความกับเกล็ดความรู้ดีๆที่นำมาฝากแฟนๆ กับบทความอาหารเสร็มเพื่อสุขภาพ  สำหรับคอร์ลัมนี้ก็เป็นบทความที่ 18 ที่ได้เขียนขึ้นมา และวันนี้ก็ถือโอกาสนำเกล็ดความรู้ดีๆ  มาฝากเช่นเคย

        ทางผู้เขียนเคยได้อ่านบทความบทความหนึ่งจากหนังสือ เกี่ยวกับคลอโรฟิลล์จากผักซึ่งน่าสนใจมาก วันนี้เลยถือโอกาสนำเกล็ดความรู้มาแบ่งปันให้ผู้ที่ชื่นชอบการดูแลสุขภาพ และผู้ที่กำลังมองหาผักสมุนไพรที่เรียกว่า นอกจากจะมีดีแล้วยังหาได้ง่าย เราจะมาทำความรู้จักกับสมุนไพรมหัศจรรย์น้ำคลอโรฟิลล์จากผัก 3 ชนิด  เราอาจจะเคยรู้มาบ้างว่าคลอโรฟิลล์คือสารสีเขียวที่อยู่ในใบไม้  แล้วมันทำหน้าที่อะไรหละ?  มันดียังไง?  แต่วันนี้เราจะทำความรู้จักกับน้ำคลอโรฟิลล์จากผัก 3 ชนิดใว่ามันคืออะไร  แล้วทำหน้าที่อะไรบ้าง






คลอโรฟิลล์ คืออะไร ?
        คลอโรฟิลล์เป็นสารที่มีสีในตัวเอง พบได้ในพืชทั่ว ๆ ไป และด้วยความที่คลอโรฟิลล์มีสีในตัวเอง จึงต้องคอยทำหน้าที่ดักจับพลังงานที่ส่องผ่านใบมาใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ แสง ซึ่งกระบวนการนี้จะเกิดขึ้นในชั้นคลอโรพลาสต์ (Chloroplasts) ของใบพืช โดยสารคลอโรฟิลล์จริง ๆ ไม่ได้อยู่ในพืชใบเขียวเพียงสีเดียว แต่ยังสามารถพบได้ในหมู่พืชชั้นต่ำ เช่น สาหร่าย ซึ่งคลอโรฟิลล์ที่อยู่ในพืชกลุ่มนี้ก็จะมีสีที่แตกต่างกันไป ดังนั้นคลอโรฟิลล์จึงสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม อันประกอบไปด้วย       

         1. คลอโรฟิลล์ a มีสีเขียวแกมน้ำเงิน พบในพืชชั้นสูงทุกชนิดที่สังเคราะห์แสงได้
         2. คลอโรฟิลล์ b มีสีเขียวแกมเหลือง พบในพืชชั้นสูงทุกชนิดและในสาหร่ายสีเขียว
         3. คลอโรฟิลล์ c พบในสาหร่ายสีน้ำตาลและสาหร่ายสีทอง แต่ไม่พบในพืชชั้นสูง
         4. คลอโรฟิลล์ d พบในสาหร่ายสีแดง แต่ไม่พบในพืชชั้นสูง
ที่มา : http://health.kapook.com/view125823.html


  สมุนไพรมหัศจรรย์น้ำคลอโรฟิลล์จากผัก 3 ชนิดที่เราพูดถึงมีอะไรบ้าง

 1 ใบย่าน่าง  มีคนเคยกล่าวไว้ว่า "ย่านาง เป็นสมุนไพรมหัศจรรย์" เกี่ยวกับประโยชน์และสรรพคุณมากมายของย่านาง ซึ่งทางภาคอีสานหมอยาโบราณเรียกย่านางว่า "หมื่นปี บ่ เฒ่า" แปลเป็นภาษากลางว่า "หมื่นปีไม่แก่" น้ำคั้นจากใบย่านางมีคลอโรฟิลล์สูงมาก ช่วยคุ้มครองและฟื้นฟูเซลล์ ปรับสมดุลของร่างกาย มีเบตาแคโรทีน แคลเซียม วิตามินเอ บี1 บี2 มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิตได้

2 ใบหม่อน จากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับใบหม่อนพบว่าในใบหม่อนมีสาร ดี เอ็น เจ (D.N.J)ซึ่งช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือด และยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและความดันในเลือดได้

3 ใบบัวบก เป็นพืชที่มีสารไกลโคไซค์ (Glycosides) หลายชนิดที่ให้ผลต้านการเกิดปฎิกิริยาออกซิเดชั่น ซึ่งไปลดความเสื่อมของเซลล์ในอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย ช่วยให้โรคต่างๆถูกบำบัดได้อย่างรวดเร็ว สารสารไกลโคไซค์ (Glycosides) จากใบบัวบกยังช่วยในการสร้างสารคลอราเจน ทำให้ผิวหนังเต่งตึงและช่วยชลอวัย
 





วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2558

คุณรู้หรือไม่? กระเจี๊ยบแดงมีสารต้านอนุมูลอิสระใกล้เคียงกับผลไม้ในตระกูลเบอรร์รี่

 

จากงานวิจัยกระเจี๊ยบแดงมีสารต้านอนุมูลอิสระ

ใกล้เคียงกับผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

          เชื่อว่าหลายคนคงเคยทาน และหลงไหลในรสชาติอันเปรี้ยวแบบมีเสน่ห์ของผลไม้ในตระบลูเบอรรี่ แน่นอนถ้าพูดถึงผลไม้ตระกูลเบอร์รี่  คงจะหนีไม่พ้น สตอร์เบอรรี่ เพราะเป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่เราคุ้นเคยและหาทานง่าย โดยเฉพาะในฤดูหนาวทางตอนเหนื่อของประเทศไทยนักท่องเที่ยวจะพากันไปสัมผัสกับอากาศหนาวเย็นและสิ่งที่ขาดไม่ได้ คือการไปชิมรสชาติอันหอมหวานของสตอร์เบอร์รี่
          
บลูเบอร์รี่ (Blueberry)
           หากคุณเป็นนักชิมผลไม้ในตระกูลเบอร์รี่ บลูเบอร์ลี่คงเป็นอีกอย่างที่พลาดไม่ได้ ด้วยรสชาติที่ไม่เหมือนใครและราคาค่อนข้างที่จะแพงทำให้มันโดดเด่น ขึ้นมาจากตัวอื่น  พบว่า มีประโยชน์ต่อร่างกายมาก ประกอบด้วยปริมาณใยอาหารสูง โดยเฉพาะเพคติน ทำหน้าที่ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และฟื้นฟูความจำให้ดีขึ้นในคนชรา  นอกจาดนี้ก็จะมี แครนเบร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ และอีกมากมายที่นิยมทาน  เพราะมีคุณประโยชน์โดยเฉพาะในเรื่องของสารที่ต้านอนุมูลอิสระ สถาบันวิจัยโภชนาการทางด้านสรีระศาสตร์ ได้ระบุว่าบลูเบอร์รี่จัดเป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุด ซึ่งผลจากการทดสอบค่าที่เรียกว่า “ORAC” (Oxygen Radical Absorbance Capacity) ได้แสดงให้เห็นว่าบลูเบอร์รี่สดจะมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าผลไม้สดและผักชนิดอื่น และที่บอกว่ากระเจี๊ยบแดงมีสารต้านอนุมูลอิสระนั้นจริงหรือไม้ ? 
    * ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับบลูเบอร์รี่ http://frynn.com/%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88/





กระเจี๊ยบแดง

ชื่อวิทยาศาสตร์ Hibiscus sabdariffa L.  วงศ์ Malvaceae
ชื่อสามัญ Rosella, Red Sorrel, Jamaica Sorrel
*หากอยากทราบข้อมูลของกระเจี๊ยบแดงเพิ่มเติมของกระเจี๊ยบแดงสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://naturalhealththailand.blogspot.com/2014/06/blog-post.html


           "จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ดอกกระเจี๊ยบมีสารต้านอนุมูลอิสระมากในปริมาณใกล้เคียงกับบลูเบอร์รี่ เชอร์รี่และแครนเบอร์รี่ จึงอวยประโยชน์ด้านป้องกันมะเร็ง ชะลอแก่ และช่วยให้เส้นเลือดอ่อนนิ่มน้ำต้มดอกกระเจี๊ยบแห้งมีสารแอนโทไซยานินสูง สารกลุ่มนี้เองเป็นสารหลัก (เกินร้อยละ ๕๐) ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอีก กลุ่มจะเป็นสารโพลีฟีนอลซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเช่นกัน สารโพลีฟีนอล ได้แก่ protocatechuic acid ไม่สลายไปเมื่อได้รับความร้อนนานๆ แต่สารแอนโทไซยานินในน้ำกระเจี๊ยบจะมีปริมาณลดลงเมื่อได้รับความร้อนต่อ เนื่องกันเป็นเวลานาน "
               ว้าวววววว...ต่อไปเราคงไม่ต้องง้อผลไม่ตระกูลเบอร์รี่กันแล้ว  ขอให้อร่อยกับน้ำกระเจี๊ยบแสนหวานให้ชื่นจนะคราบบบบ  ^^
          

 ที่มา : http://www.doctor.or.th/article/detail/1187
 


วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เคล็ดลับอายุยืนของปู่เย็นจากการดื่ม.....ทุกเช้า......แล้ว....ดีอย่างไร ???




น้ำเต้าหู้มีประโยชน์อย่างไร ?

      
          นายเย็น แก้วมะณี หรือ "ปู่เย็น"  เจ้าของสมญานาม "เฒ่าทระนง" แห่งลุ่มน้ำเพชรบุรี    ย้อนกลับไปคืนวันอังคารที่  22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 รายการ "คนค้นฅน" ได้หยิบยกชีวิตชายชราวัยซึ่งขณะนั้นอายุ 105 ปี (ปัจจุบันอายุ 108 ปี) ที่อยู่อย่างพอเพียง เรียบง่าย และทรนงตน มานำเสนอให้เป็นข้อคิด กับประโยคเด็ดๆ "ดูแต่หอยซิ ไม่มีมือไม่มีตีนมันยังหากินเองได้ ประสาอะไรกับคนมีมือมีเท้า หากินเองไม่ได้ก็อายหอย"  
        หากพูดถึง "ปู่เย็น"  หลายคนคงถึงเรื่องของการมีอายุที่ยืนยาว  และการใช้ชีวิตที่แสนจะเรียบง่ายของปู่เย็นผู้เขียนเคยได้อ่านหนังสือ    ชื่อ ปู่เย็น เป็นอยู่  จนจบเล่มและมีข้อความที่ชวนให้ผู้เขียนสดุดตาและอยากนำมาเผยแพร่ต่อ  ปู่เย็นบอกว่าเคล็ดลับอย่างหนึ่งที่ทำให้ปู่เย็นอายุยืนคือ  ทุกๆเช้าที่ปู่เย็นจะเอาปลามาขายจะแวะซื้อน้ำเต้าหู้เป็นประจำ   ทำให้ปู่เย็นแข็งแรงและมีอายุยืนยาวถึง 108 ปี






                                                    ที่มาของรูปจาก   http://www.naiin.com

       น้ำเต้าหู้ หรือ นมถั่วเหลือง เป็นเครื่องดื่มซึ่งทำจากการบดถั่วเหลืองและนำไปต้มกรองจนเจือจางลง อาจปรุงด้วยน้ำตาลและอื่น ๆ รับประทานได้ทันที นิยมรับประทานเป็นมื้อเช้าคู่กับปาท่องโก๋ หรือทำเป็นน้ำเต้าหู้ทรงเครื่องโดยใส่สาคู ลูกเดือย ข้าวบาร์เลย์ หรือธัญพืชชนิดอื่น ๆ ตามใจชอบ   และเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีสำหรับผู้ที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ หรือสำหรับคนที่บริโภคเนื้อสัตว์ ก็สามารถดื่มน้ำเต้าหู้เป็นอาหารเสริมได้เพราะถั่วเหลืองที่นำมาทำน้ำเต้าหู้นั้นมีโปรตีนสูง และมีคุณค่าทางโภชณาการใกล้เคียงกับโปรตีนจากเนื้อสัตว์






ประโยชน์ของน้ำเต้าหู้

ถั่วเหลืองมีโปรตีนสูง ถั่วเหลืองจึงเป็นแหล่งโปรตีนสำหรับผู้ที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ เพราะถั่วเหลืองมีคุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงกับโปรตีนจากสัตว์ ถ้าเราบริโภคถั่วเหลืองในปริมาณที่สูงพอ ร่างกายจะได้รับโปรตีนเพียงพอกับความต้องการได้
นอกจากถั่วเหลืองเป็นแหล่งไขมันและโปรตีนที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ในถั่วเหลืองยังอุดมไปด้วยสารอาหารอีกมากมาย คือคาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามิน A, B, B1, B2, B6, B12, ไนอาซิน และวิตามิน C, D, E อีกด้วย ในเมล็ดถั่วเหลืองนั้นยังมี ลซิทินช่วยบำรุงสมอง เพิ่มทักษะความจำ ลดไขมัน และลดโคเลสเตอรอลในร่างกายได้อีกด้ว
ที่มา  :  จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


คุณประโยชน์อื่นๆที่น่าสนใจในผู้หญิงและผู้ชาย 

  • ช่วยลดและป้องกัน โรคมะเร็งเต้านม และ บรรเทาอาการ ข้างเคียงจาก ภาวะหมดประจำเดือน
  • ช่วยป้องกันและแก้ไข โรคหัวใจ เนื่องจากเป็นอาหารที่ไม่มีคอเรสเตอรอล มีไฟเบอร์สูง นอกจากนี้ยังมี โอเมกา 3 และวิตามินอี
  • ช่วยป้องกันและยับยั้งโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
  • ช่วยป้องกันโรคระบบทางเดินอาหาร เนื่องจากถั่วเหลืองมีไฟเบอร์สูง ไฟเบอร์เหล่านี้จะช่วยทำความสะอาดระบบทางเดินอาหาร 
  • ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ได้
  • เป็นแหล่งโปรตีนสำคัญสำหรับนักมังสวิรัต เพราะถั่วเหลืองมีสารอะมิโน เอซิด ที่จำเป็นต่อร่างกาย
  • ใช้แทนน้ำนมวัว ในเด็กที่แพ้นมวัวและแพ้แลคโตสในนม
  • ใช้เป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะถั่วเหลืองมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบน้อย และยังไม่มีคอเลสเตอรอล


ข้อควรระวัง

น้ำเต้าหู้ส่วนมากนั้นมีน้ำตาลเยอะเกินไป โดยเฉพาะที่ขายกันตามร้านทั่วไปนั้น ผู้ผลิตมักจะใส่น้ำตาลทรายในระดับที่มาก เพราะต้องการเน้นไปที่รสหวาน เนื่องจากน้ำเต้าหู้นั้นมักจะมีกลิ่นเหม็นเขียวจากถั่วเหลืองอยู่บ้าง   ดังนั้นจึงมีแนวคิดที่จะใช้รสหวานดับกลิ่นชนิดนี้ ซึ่งหากรับประทานเจ้าน้ำเต้าหู้ที่ผสมน้ำตาลมากๆ จำเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคอ้วน  โรคเบาหวาน  ความดันโลหิตสูงได้นั่นเองครับ  เพราะฉนั้นเวลาซื้อควรสั่งที่ใส่น้ำตาลน้อยๆ  หรือไม่ใส่น้ำตาลเลยก็ยิ่งดี    

ขอให้อร่อยกับการดื่มน้ำเต้าหู้และมีอายุยืนยาวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  น่ะคราฟฟฟฟ







วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หากหนุ่มๆสาวๆ อยากลดน้ำหนัก (โดยเฉพาะพุง) 6 อย่างนี้ขาดไม่ได้????



           วัยรุ่นเป็นวัยที่มีความพิถีพิถันในเรื่องรูปร่างของตัวเองค่อนข้างมาก วัยรุ่นส่วนใหญ่มักจะมีความรู้สึกว่าควรจะลดน้ำหนัก ซึ่งบางคนก็ผอมอยู่แล้ว ก็ยังต้องการที่จะลดน้ำหนักให้ผอมลงไปอีก ความจริงแล้วการลดน้ำหนักโดยที่ไม่รู้ว่าน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติอยู่แล้วหรือไม่นับว่าไม่ถูกต้อง หากน้ำหนักตัวต่ำกว่าปกติแล้วยังไปลดน้ำหนักลงอีกก็จะเป็นอันตรายได้ ทั้งนี้เพราะน้ำหนักที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป ก็มีผลเสียต่อสุขภาพ
             เพราะฉนั้นวันนี้ทางเรา    naturalhealththailand.blogspot.com   ได้นำเคล็ดลับดีๆที่ช่วยให้การลดน้ำหนักง่ายและไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ   นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกว่า พร้อมแนะนำของกินกรุบกริบที่กินแล้วไม่อ้วน แถมหาง่าย ใกล้ตัว และราคาก็ไม่แพงเลย เรียกว่า อยู่ท้อง ไร้พุง สบายกระเป๋า 







1) เม็ดแมงลัก “อาหารลดพุงแสนคลาสสิก แต่ประโยชน์ล้น เพราะมีพระเอกสำคัญคือ วิตามินเอที่สูงปรี๊ดกับ เส้นใยละลายน้ำ (Soluble fiber) ที่ดูเป็นวุ้นใส เมื่อแช่น้ำนั่นละครับ ช่วยพองในท้องให้อิ่มแต่ไม่อ้วน” หมอต้นให้เทคนิคกินง่ายคือ แช่น้ำให้พองเต็มที่ก่อน อย่าใจร้อน แล้วค่อยปรุงรับประทาน

2) ถั่วลิสง ของกินช่วยลดหิวได้ ใช้แทนของว่างที่แสนอ้วนอย่างมันฝรั่งทอด “การรับประทานถั่วลิสงคั่วแบบไม่ปรุงรสจะให้ความรู้สึกอิ่มท้องจาก ใยอาหารถั่ว ที่มีอยู่อย่างอุดม แม้ถั่วจะมีพลังงานสูง แต่ด้วยใยอาหารของมันกับโปรตีนนี่เองครับที่ช่วยให้รู้สึกไม่หิวจนเกินไป”

3) แอปเปิ้ลเขียว เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วย เพคติน ช่วยให้อิ่ม หยิบทานง่าย และเก็บไว้ได้นาน “เก็บไว้ทานในตู้เย็นที่ออฟฟิศก็ได้ ใช้เป็นมาตรวัดความหิวแบบง่ายๆ คือ ถ้านึกหิวขึ้นมาให้ถามตัวเองว่าหิวขนาดกินแอปเปิ้ลได้สักลูกไหม ถ้าใช่ก็อย่ารีรอเลยครับ---รีบหยิบมากัดกระแทกท้องทันที”

4) มะนาว “หามะนาวติดบ้านหรือออฟฟิศไว้ ไม่มีเวลาจริงๆ ก็บีบเข้าปากเลยก็ยังได้ น้ำมะนาวที่ขมนิดๆ จะช่วยให้รู้สึกหายหิวได้นานนับ ชั่วโมงหลังจากกิน เพราะสารพิเศษจากเปลือก” หมอต้นแนะต่อว่า “บางครั้งลองหาโอกาสกิน ‘เมี่ยงคำใส่ชิ้นมะนาว’ แทน ‘เลม่อนพาย’ ดูก็ดีนะครับ”

5) ทูน่า ติดทูน่ากระป๋องไว้ในทุกที่ จะใส่ในกระเป๋าถือหรือเป้ทำงานก็ได้ เก็บง่าย อยู่ได้ทนดี เพราะทูน่าช่วยให้อิ่มจากโปรตีนเน้นๆ “เปี่ยมไปด้วยคุณค่าจากไขมันต้านชราอย่าง โอเมก้า 3 ที่มีอยู่ในปลากระป๋องเช่นกัน”

6) ไข่ต้ม “อาหารลดอ้วนที่ได้ผลชะงัด” หมอต้นคอนเฟิร์ม “การรับประทานไข่มีส่วนช่วยลดไขมันได้จากงานวิจัยใหม่ๆ ส่วนไข่ขาวก็เป็นโปรตีนล้วน ที่ช่วยให้ไม่โทรมเวลาลดน้ำหนัก เพราะมันสร้างกล้ามเนื้อที่เผาผลาญไขมันโดยธรรมชาติ”

ขอบคุณ : นพ.กฤษดา ศิรามพุช,พบ.(จุฬาฯ)
ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ
American Board of Anti-aging medicine
และรายการ คนสู้โรค ไทยพีบีเอส.

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2557



ต่อไปเราจะไม่เป็นภูมิแพ้อีกแล้ว...


         สวัสดีครับวันนี้มีสารดีๆมาฝาก  สำหรับคนรักสุขภาพเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำ  สูตรกล้วยน้ำว้าดองน้ำผึ้ง สุดยอดยาอายุวัฒนะ  ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดสูตรนี้หรือเขียนมันขึ้นมาแต่บังเอิญเข้าไปศึกษาในเว็บไซต์หนึ่งเค้าบอกว่ามี   สูตรกล้วยน้ำว้าดองน้ำผึ้ง สุดยอดยาอายุวัฒนะ  ที่ดีมากๆผมก็เลยเอามาฝากให้ไปลองทำกันดูที่บ้านครับ




สูตรกล้วยน้ำว้าดองน้ำผึ้ง สุดยอดยาอายุวัฒนะ
ส่วนประกอบ


1 พริกไทยดำ บุบๆ พอแตก 100 เม็ด
2 ขิงสดฝานเป็นแง่งบางๆ 1 แง่ง
3 กล้วยน้ำว้าสุกคาต้น 1 หวี
4 น้ำผึ้งแท้
5 โหลแก้ว ขนาด พอประมาณ(ให้สูงกว่ากล้วยวางแนวตั้ง)
วิธีทำ
นำพริกไทยและขิงสดเรียงไว้ก้นโหลปลอกกล้วยน้ำว้าใส่เรียงตามลงในแนวตั้ง...
เรียงจนกล้วยเต็มโหล แล้วเติมน้ำผึ้งแท้ ตามลงไปจนท่วมกล้วยมิด
ปิดฝาโหลตั้งทิ้งเอาไว้ สามวัน
จากนั้นนำกล้วยมากินเช้า 1 ลูก เย็น 1 ลูกถ้ากล้วยใกล้หมดให้เติมกล้วยลงไปใหม่
หมักต่อไป...ทานได้เรื่อยๆ

สรรพคุณ : บำรุงดี ภูมิแพ้หาย ร่างกาย แข็งแรง อายุยืน










 




          เข้าสู่หน้าฝนแล้ว สภาพอากาศที่อับชื้นและเย็นลงเหมาะแก่การเจริญเติบโตของเชื้อโรคโดยไม่สนใจว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่วัยทำงาน หรือผู้สูงอายุ ถ้าคุณเป็นหนึ่งคนที่ภูมิต้านทานในช่วงนี้ไม่แข็งแรงแล้วล่ะก็ เชื้อโรคจะเข้าประชิดตัวและทำร้ายคุณได้ทันที ทำให้เชื้อไวรัสและแบคทีเรียแพร่ขยายและก่อโรคได้อย่างรวดเร็ว 



           การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง และที่สำคัญอีกอย่างคือ เน้นการรับประทานผักและผลไม้ เพราะสารอาหารที่รับประทานเข้าไปมีส่วนสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายแข็งแรง และรับมือกับโรคในช่วงหน้าฝนนี้ได้ สารอาหารต้านโรคที่แนะนำ มีดังนี้



• เบต้าแคโรทีน พบมากในผักสีเขียว และผลไม้ที่มีสีส้ม เหลือง หรือแดง เช่น บร็อคโคลี ผักบุ้ง แครอท มะเขือเทศ มะละกอ
• วิตามินซี พบในผักและผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม ฝรั่ง มะนาว กีวี พริกหยวก
• วิตามินอี พบมากในผักใบเขียว มะเขือเทศ กีวี ไข่ ถั่ว นม เนื้อปลา น้ำมันพืช
• วิตามินบี พบในผักใบเขียว นม เนื้อสัตว์ ตับ ไข่ และธัญพืชจำพวก ถั่ว ข้าว ข้าวซ้อมมือ
• ซีลีเนียม พบในอาหารทะเล ตับ จมูกข้าวสาลี กระเทียม บร็อคโคลี ข้าวกล้อง
• สังกะสี พบในหอยนางรม ผลิตภัณฑ์นม เนื้อไก่ ไข่ ถั่วลิสง
• กระเทียม มีสารอัลลิซิน (allicin) และซัลไฟด์ (sulfides) ซึ่งเป็นสารต้าน#อนุมูลอิสระ ทำหน้าที่เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค และช่วยเสริมภูมิต้านทาน
• กรดโอเมก้า 3 คือกรดไขมันที่จำเป็นในการสร้างเม็ดเลือดขาว และแอนติบอดี้ พบมากในไข่ ปลาทะเล ถั่วเหลือง น้ำมันตับปลา
• โยเกิร์ต เต็มไปด้วยโปรไบโอติกส์ ทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันไปจนถึงระดับเซลล์ ซึ่งช่วยปกป้องร่างกายจากไวรัส แบคทีเรีย รวมทั้งยังกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวและแอนติบอดี้ให้กำจัดเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ที่มา: สสส.