วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556
วิธีเลือกซื้อและล้างผักผลไม้ ให้ปลอดภัยจากสารพิษ
ผักผลไม้ถือว่าเป็นอาหารที่สำคัญต่อร่างกายคนเราเป็นอย่างมาก ให้สารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เป็นประโยชน์่ต่อร่างกาย รวมทั้งเป็นแหล่งวิตามินและเกลือแร่ที่ดีที่สุด ช่วยรักษาสมดุลของร่างกาย และทำให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายดีขึ้น โดยเฉพาะในปัจจุบันที่มีกระแสการดูแลสุขภาพ จากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชนที่รณรงค์ให้ทุกคนหันมาดูแลสุขภาพ เพื่อสุขภาพที่ดี รวมทั้งกระแสการรักษาหุ่นในเพศหญิงที่นับว่ามาแรงสุดๆ โดยพบมากในวัยรุ่นและวัยทำงาน ผักและผลไม้ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่สำคัญต่อการดูแลสุขภาพ อาหารส่วนมากก็จะเน้นไปที่ผักและผลไม่สดเพราะให้คุณประโยชน์สูงและหาซื้อได้ง่าย เช่น การทำสลัด เป็นต้น ซึ่งการทานผักและผลไม่สดเป็นเรื่องดี แต่การเลือกซื้อผักและผลไม้ของหลายต่อหลายคนจะเน้นไปที่ความสวยงาม ยิ่งสวยมากเท่าไหร่คนยิ่งให้ความสนใจ โดยเฉพราะในห้างดังๆ ที่มีการคัดเลือกผักและผลไม่สวยๆมาวางขายเพื่อดึงดูดใจลูกค้า
ผักและผลไม้ที่นำมาวางขายในท้องตลาดส่วนใหญ่ ที่เรานำไปบริโภคกันอยู่เป็นประจำส่วนมากจะมีสารพิษของสารเคมีป้องกันและสารกำจัดศัตรูพืชตกค้างอยู่บริเวณผิวด้านนอก และแทรกตัวเข้าไปในเนื้อของผักและผลไม้สะสมกันเป็นจำนวนมาก รวมทั้งมีเชื้อแบ็คที่เรีย เชื้อรา เชื้อไวรัส หรือโลหะหนักอื่นๆปะปนมาและพยาธิที่มากับมูลสัตว์ที่ใช้เป็นปุ๋ย โรคที่มากับผักและผลไม้ที่มีสารพิษปะปนมามีทั้งโรคชนิดเฉียบพลันและโรคเรื้อรัง โรคเฉียบพลัน เช่น มีอาการอาเจียน คลื่นไส้ ปวดท้อง ชา เป็นไข้ หรือมีอาการไม่สบายตัว ส่วนโรคเรื้อรังหรือระยะเวลายาวส่วนมากจะได้รับจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เช่น โรคมะเร็ง โรคอัลไซเมอร์ เป็นต้น
วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556
พลังงานต่ำ คุณค่าสูง แถมยังราคาประหยัด
ก่อนอื่นถ้าผมถามว่าไครบ้างที่เคยทาน "แตงโม" ผมคิดว่าไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ต้องยกมือตามๆกัน เพราะถ้าเอ่ยถึงแตงโม ที่เป็นผลไม้ที่ให้พลังงานต่ำ คุณค่าสูง แถมยังราคาประหยัด แล้วผมคิดว่าเกือบทุกคนต้องเคยทาน บางคนอาจจะชอบทานเป็นพิเศษด้วยซ้ำ เพราะรสชาติที่หวานชื่นใจโดยเฉพาะเวลาที่นำออกจากตู้เย็นใหม่ๆ ทั้งรสหวานบวกกับความเย็นมันทำให้หลายคนอดใจไม่ไหวจนต้องหามาทานกันเป็นประจำ
แล้วคุณเคยสงสัยไหมว่าแตงโมมาจากที่ไหน..... แล้วไครเป็นคนนำมาปลูก ????
วันนี้ผมจะพาทุกคนไปทำความรู้จักับ "คุณแตงโม" จนหมดเปลือกกันเลยทีเดียว
แตงโม ชื่อสามัญ คือ Watermelon ; ชื่อ วิทยาศาสตร์ Citrullus lanatus ( Thnb.) Mathum & Nakia เป็นพืชที่อยู่ในวงศ์แตง Cucurbitaceae แตงโมเป็นพืชล้มลุกประเภทเถาเลื้อย ลักษณะของต้นจะเลื้อยไปตามพื้นดิน และโตเร็วใบมีลักษณะพิเศษ เป็นแผ่นเดียวกันตลอดมีลักษณะเป็นแฉกๆ โคลนใบกว้างปลายใบแหลมและมีขนบริเวณต้นปกคลุม ดอกมีสองเพศแยกออกจากกันบนต้นเดียวกัน มีกลีบดอกสีเหลืองอ่อน ผลของแตงโมมีทั้งแบบกลม และทรงกระบอก แต่ในปัจจุบันมีการทำแม่แบบเพื่อให้แตงโมมีรูปร่างหน้าตาตามที่ต้องการ เช่น รูปหัวใจ รูปสี่เหลี่ยม เป็นต้น ผลของแตงโมก็จะมีขนาดแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ชนิดพันธุ์ การปลูกและการดูแล เป็นต้น ส่วนมากก้จะมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 15 - 20 เซนติเมตร เปลือกมีสีเขียวอ่อน มีลายเป็นสีเขียวเข้มเป็นลายยาว หรือบางชนิดเปลือกก็จะมีสีเขียวเข้มจนถึงสีดำ เนื้อในที่นิยมทานก็จะมีสีแดงและสีเหลือง แต่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่าแตงโมมีสีน้ำเงิน และ สีส้มก็ยังมี ส่วนชื่อที่ใช้เรียก "แตงโม " ก็จะแตกต่างกันออกไป เช่น
ภาคอีสาน เรียกว่า บักโมหรือ บักแตงโม
ภาคเหนือเรียกว่า บะเต้า
คนตรังเรียก แตงจีน
ส่วนชื่อสามัญ Watermelon แปลว่า "แตงน้ำ" เพราะในแตงโมมีน้ำเป็นส่วนประกอบเป็นส่วนใหญ่
และประเทศไทยในปัจจุบันแตงโมถือว่าเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมทานกันอย่างแพร่หลายทั้งในสังคมเมือง และสังคมชนบท ( ผู้เขียนเกิดมาในสังคมการเกษตร เคยปลูกแตงโมไว้กินและเหลือจากกินก็จะนำไปขาย คนชนบทจะปลูกแตงโมกินเองเราก็จะไม่ใส่ยาฆ่าแมลงหรือสารเร่ง แต่จะดูแลและบำรุงให้แตงโมโตด้วยวิธีทางธรรมชาติ ) ในทางกลับกันการปลูกแตงโมไว้ขายพื้นฐานเลยก็คือต้องปลูกจำนวนมากและใช้ระยะเวลาสั้นๆ เพื่อให้ทันต่อความต้องการของผู้บริโภค เพราะ ฉนั้นการปลูกและดูแลแตงโมในปัจจุบันก็จะใช้สารเคมี และสารเร่งการเจริญเติบโตต่างๆ ผลที่ตามมาคือสารเคมีตกค้างในผลแตงโม มีคำพูดว่าขนาดช้างที่ตัวใหญ่ๆกินแตงโมที่มีสารพิษก็ยังตาย ทำให้หลายคนไม่กล้าทานแตงโมทั้งๆที่แตงโมมีคุณประโยชน์สูง เพราะฉนั้นการหลีกเลี่ยงการกินแตงโมที่มีสารพิษที่ดีที่สุดคือ รู้จักที่ไปที่มาของการผลิตหรือที่ปลูกเพระการทำให้แตงโมที่มีสารเคมีตกค้างปลอดสารทำได้ยาก
( ครั้งต่อไป ผูเขียนจะนำเสนอวิธีการเลือกแตงโมให้ได้รสหวาน และมีคุณภาพดีมาฝาก รวมทั้งเคล็ดลับการเลือกและแตงโมปลอดสารและการล้างแตงโมและผักผลไม้ให้ปลอดสารเคมีมาฝาก )
ภาคอีสาน เรียกว่า บักโมหรือ บักแตงโม
ภาคเหนือเรียกว่า บะเต้า
คนตรังเรียก แตงจีน
ส่วนชื่อสามัญ Watermelon แปลว่า "แตงน้ำ" เพราะในแตงโมมีน้ำเป็นส่วนประกอบเป็นส่วนใหญ่
แตงโมสี แดง เหลือง ส้ม และน้ำเงิน |
แตงโมรูปร่างต่างๆขอขอบคุณภาพจาก www. mthai.com และภาพจาก the...cube |
บ้านเกิดของแตงโม......มาจากไหนน้าาาา
แตงโมมีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกาแถบทะเลทรายคาลาฮาลี โดยที่แตงโมจะเกิดเองเหมือนพืชทั่วๆไปและมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง เนื้อของแตงโมก็มีหลายรสชาติมีทั้ง รสหวาน จืด และรสขม ต่อมามีการนำมาปลูกโดนชาวอียิปต์เป็นกลุ่มแรกที่นำแตงโมมาปลูกไว้กิน เมื่อ 4,000 ปีมาแล้ว ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10 และปัจจุบันประเทศที่มีการปลูกแตงโมมากที่สุดในโลกคือประเทศจีนและประเทศไทยในปัจจุบันแตงโมถือว่าเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมทานกันอย่างแพร่หลายทั้งในสังคมเมือง และสังคมชนบท ( ผู้เขียนเกิดมาในสังคมการเกษตร เคยปลูกแตงโมไว้กินและเหลือจากกินก็จะนำไปขาย คนชนบทจะปลูกแตงโมกินเองเราก็จะไม่ใส่ยาฆ่าแมลงหรือสารเร่ง แต่จะดูแลและบำรุงให้แตงโมโตด้วยวิธีทางธรรมชาติ ) ในทางกลับกันการปลูกแตงโมไว้ขายพื้นฐานเลยก็คือต้องปลูกจำนวนมากและใช้ระยะเวลาสั้นๆ เพื่อให้ทันต่อความต้องการของผู้บริโภค เพราะ ฉนั้นการปลูกและดูแลแตงโมในปัจจุบันก็จะใช้สารเคมี และสารเร่งการเจริญเติบโตต่างๆ ผลที่ตามมาคือสารเคมีตกค้างในผลแตงโม มีคำพูดว่าขนาดช้างที่ตัวใหญ่ๆกินแตงโมที่มีสารพิษก็ยังตาย ทำให้หลายคนไม่กล้าทานแตงโมทั้งๆที่แตงโมมีคุณประโยชน์สูง เพราะฉนั้นการหลีกเลี่ยงการกินแตงโมที่มีสารพิษที่ดีที่สุดคือ รู้จักที่ไปที่มาของการผลิตหรือที่ปลูกเพระการทำให้แตงโมที่มีสารเคมีตกค้างปลอดสารทำได้ยาก
( ครั้งต่อไป ผูเขียนจะนำเสนอวิธีการเลือกแตงโมให้ได้รสหวาน และมีคุณภาพดีมาฝาก รวมทั้งเคล็ดลับการเลือกและแตงโมปลอดสารและการล้างแตงโมและผักผลไม้ให้ปลอดสารเคมีมาฝาก )
วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556
ทำไมต้อง โอเมก้า 3 และ โอเมก้า 6 แล้วมันมีประโยชน์อย่างไร ?
เนื่องจากการดำรงชีวิตของคนในสังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา ทำให้รูปแบบวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนไทยหายไป ชีวิตประจำวันที่แสนจะเร่งรีบ รีบตื่น รีบแต่งตัว รีบไปทำงาน ทุกอย่างดูรีบกันไปหมดทำให้โอกาสที่จะดูแลใส่ใจตัวเอง และคนในครอบกลายเป็นเรื่องไกลตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำให้หลายต่อหลายคนต้องหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อนำมาทดแทนสารอาหารที่ร่างกายขาดไป กรดไขมันโอเมก้า 3 และ กรดไขมันโอเมก้า 6 จึงเป็นอีกทางเลือกของหลายต่อหลายคน แล้ว กรดไขมันโอเมก้า 3 และ กรดไขมันโอเมก้า 6 มีความสำคัญอย่างไร ?
สังคมที่เร่งรีบ |
จากกระแสที่มาแรงของกรดไขมันโอเมก้า 3 ทำให้เรารู้สึกคุ้นหูและตื่นตัวกับคำนี้มากขึ้น กรดไขมันโอเมก้า 3 ถือได้ว่ามีความจำเป็น และมีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย เช่น สร้างผนังเซลล์ของร่างกาย ไปกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เป็นต้น แต่ในขณะเดียวกันจะมีกี่คนที่รู้ว่า กรดไขมันโอเมก้า 6 ต้องมีควบคู่กันไปกับกรดไขมันโอเมก้า 3 ถือว่ามีความสำคัญไม่ต่างกัน เพราะถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งอาจทำให้เสียสมดุลของร่างกายได้
กรดไขมันโอเมก้า 3
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับกรดไขมันโอเมก้า 3 หรือที่เราเรียกกั้นสั้นๆ ว่า " โอเมก้า 3 "
กรดไขมันโอเมก้า 3 ( omega 3 หมายถึง ตำแหน่งของ carbon atom ในสายของกรดไขมันที่มีพันธะคู่ ซึ่งก็คือกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว เป็นหนึ่งในกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ( Essential fatty acid ) ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ) กรดโอเมก้า 3 มีอยู่สามชนิดที่สำคัญ1 กรดไขมันแอลฟาไลโนเลนิก ( Alpha linolenic acid : ALA )
2 กรดไขมันอีพีเอ ( Eicosapentaenic acid : EPA )
3 กรดไขมันดีเอชเอ ( Docosahexaenoic acid : DHA )
กรดไขมันโอเมก้า 3 สามารถพบได้ในอาหารชนิดต่างๆ เช่น กรดไขมันแอลฟาไนโลเลนิค (ALA) ส่วนใหญ่จะได้จากอาหารที่เป็นไขมันจากพืช เช่น น้ำมันถั่งเหลือง น้ำมันรำข้าว เป็นต้น ส่วนของกรดไขมันอีพีเอ ( EPA ) และดีเอชเอ ( DHA) จะได้จากสัตว์ แต่เราจะพบ ( omega 3 ) มากในปลาทะเลเขตน้ำเย็น เช่น ปลาซาลมอล แม็คคาเรล ซาร์ดีน แฮร์ริง เมนฮาเดน และทูน่า ฯลฯ (omega 3) สูงมากในอัตราส่วนระหว่าง 2.5-8 กรัม/เนื้อปลา 200 กรัม และมีผลการวิจัยพบว่าปลาทะเลไทยมี ( omega 3) เช่นกัน เช่น ปลาทู ปลารัง ปลาเก๋า ปลาโอ ฯลฯ แต่หากไครที่ชอบทานปลาน้ำจืดก็ไม่ต้องน้อยใจหรือเสียใจเพราะมีผลการวิจัยว่ามี ( omega 3 ) ในปลาน้ำจืดบางชนิด เช่น ปลาดุก ปลาสลิด ปลาสวาย ปลาช่อน ปลาตะเพียน ฯลฯ
แหล่งที่มาของกรดไขมันโอเมก้า 3 |
คุณประโยชน์ของกรดไขมันโอเมก้า 3
เนื่องจากกรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ต้องรับจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป หน้าที่หลักๆเลยของ กรดไขมันโอเมก้า 3 มีหน้าที่สร้างผนังเซลล์ของร่างกาย ดังนั้นผนังเซลล์จะประกอบด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 นอกจากนี้กรดไขมันโอเมก้า 3 ยังนำไปสร้าง " ไอโคซานอยด์ " ( eicosanoide ) มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย คล้ายๆกับฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น เช่น ไปกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้หลอดเลือดมีการขยายตัว
กรดไขมันโอเมก้า 3 จะสร้างไอโคซานอยด์ ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด เช่น ลิวโคไทรอิน ( leukotrienes ) พรอสตาแกรนดิน ( prostaglandins ) ทรอมบอกเซน ( thromboxanes ) และที่กล่าวมาก็จะมีหน้าที่แตกต่างกัน
กรดไขมันโอเมก้า 3 กับทารกและสตรีมีครรภ์
1. DHA : ( Docosahexaenoic acid ) ในน้ำมันปลา กรดไขมันโอเมก้า 3 มีความจำเป็นต่อการพัฒนาจอตา และพัฒนาสมองของทารก แต่ทารกจะไม่าสมารถสังเคราห์ DHA ได้ด้วยตัวเอง ( ต้องอาศัยน้ำนมจากแม่เป็นตัวช่วย ) มีการศึกษาวิจัยพบว่า ปริมาณกรดไขมันดีเอชเอที่เด็กได้รับมีผลโดยตรงต่อพัฒนาการจอตาของเด็ก และพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้หรือพัฒนาเซลล์สมอง โดย WHO ระบุว่าทารกแรกเกิดควรได้รับ DHA ไม่ต่ำกว่าวันละ 40 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม เพราะฉนั้นมารดา หรือหญิงที่ให้นมบุตรควรจะบริโภท DHA อย่างสม่ำเสมอเพื่อส่งไปยังลูกโดยผ่านทางรกและน้ำนม ทั้งนี้เด็กควรได้รับไขมันดีเอชเอทั้งแต่แรกคลอดจาก "น้ำนมเหลือง " ( colostrum) ของมารดา และน้ำนมแม่ซึ่งจะมีประโยชน์มาก
2. ป้องกันการคลอดก่อนกำหนดและทารกน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์
3. มีปริมาณกรดไขมันโอเมก้า 3 ในสมองต่ำ เสี่ยงต่อการเกิดโรคสมาธิสั้นในเด็กได้
4. สตรีที่ตั้งครรภ์ได้รับกรดไขมันโอเมก้า 3 ไม่เพียงพอ อาจเกิดความดันโลหิตสูงขณะทำคลอดได้ ( Preclampsia ) และอาจมีอาการซึมเศร้าหลังคลอดได้ ( Postpartum depression )
5. นมแม่มี EPA สูงกว่านมผงถึง 2.5 เท่า และมี DHA สูงกว่าถึง 30 เท่า ดังนั้นนมของมารดาถือว่ามีความสำคัญมากต่อทารก
กรดไขมันโอเมก้า 3 กับวัยเด็กและวัยกำลังเรียนรู้
1. DHA ในกรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นส่วนหนึ่งของเซลล์สมองและเซลล์ประสาท ซึ่งมีผลต่อสติปัญญาหากร่างกายได้รับในปริมาณน้อยหรือไม่เพียงพอ จะทำให้เซลล์สมองและเซลล์ประสาทลดประสิทธิภาพในการทำงานและการเรียนรู้ไปด้วย ผลการวิจัยของ ดร. จูดิธ เวริท์แมน แห่งสถาบัน MIT ผลการศึกษาพบว่าในเนื้อปลาอุดมด้วยกรดอะมิโน ( Thyrosine ) ซึ่งสามารถกระตุ้นสารสำคัญในสมอง คือ ( Nerephinephrine ) และ ( Dopamine ) ทำให้สมองมีความกระฉับกระเฉงและมีสมาธิ
กรดไขมันโอเมก้า 3 กับวัยทำงาน
1. คุณจะเห็นได้ว่าคนในวัยทำงานมักจะประสบกับความเครียดอยู่เป็นประจำ นั้นเพราะสมองทำงานหนักเกินไปและได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ หรืออีกนัยหนึ่งเป็นเพราะร่างกายขาด DHA
2. เมื่อมีปริมาณ DHA ที่เหมาะสมกับร่างกาย DHA จะผ่านเข้าไปเสริมสร้างการเจริญเติบโตของประสาทของเซลล์สมองที่เรียกว่า เดนไดรท์ ( Dendrite ) ที่มีหน้าที่ถ่ายทอดสัญญาณระหว่างเซลล์สมองด้วยกัน ทำให้สมองพร้อมกับการทำงานเสมอ
กรดไขมันโอเมก้า 3 กับคนวัยสูงอายุ
1. ในผู้สูงอายุมักจะเกิดภาวะสมองเสื่อม หรือโรคอัลไซเมอร์ ( Alzheimer's disease หรือ AD) ที่เกิดได้ง่ายกว่าคนในวัยอื่นๆ จากผลการทดลองโดยการให้ DHA กับผู้ป่วย พบว่าเมื่อมีการทดสอบมีความสามารถในการตัดสินใจ และการคำนาณได้มีประสิทธิภาพกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้ให้ DHA ในระยะเวลา 6 เดือน
2. EPA ลดการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุทางเดินหายใจ และลดการตอบสนองทางภูมิแพ้ และยังสามารถลดความถี่ของการเป็นหอบหืดได้
3. ช่วยให้อาการ เศร้า นอนไม่หลับ ไม่มีอารมณ์ทางเพศ มีอาการดีขึ้นมากกว่า 50%
4. จากข้อมูลพบว่าชาวเอสกิโมซึ่งกินปลาทะเลมากกว่าบุคคลทั่วไป จะป่วยเป็นโรคหัวใจน้อยมาก ( แต่ยังไม่มีผลการวิจัยที่แน่ชัดเกี่ยวกับเรื่องนี้)
กรดไขมันโอเมก้า 6
คืออะไร ? ไครรู้
ถ้าพูดถึงกรดไขมันโอเมก้า 6 หลายคนอาจจะไม่รู้จัก หรือไม่คุ้นหู ปัจจุบัน กรดไขมันโอเมก้า 6 ยังไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก หลายต่อหลายบทความเกี่ยวกับเรื่องของกรดไขมันโอเมก้าก็จะเน้นไปที่ กรดไขมันโอเมก้า 3 แต่วันนี้ผู้เขียนจะพาเราไปรู้จักกับกรดไขมันโอเมก้าหกกัน ว่าเค้าเป็นไคร มีหน้าตายังไง และที่สำคัญเค้าทำอะไร ???
ทั้งที่จริงแล้ว กรดไขมันโอเมก้า 6 มีส่วนสำคัญคือเป็นตัวถ่วงสมดุลของกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งร่างกายของคนเราจำเป็นต้องใช้ประโยชน์ทั้งสองชนิดนี้ กรดไขมันโอเมก้า 6 คือ กรดไขมันไลโลเลอิก
( Linoleic acid : AD) และกรดไขมันอะราคิโดนิก ( Arachidonic acid : ARA ) ร่างกายจะใช้ประโยชน์ของกลุ่มกรดไขมันโอเมก้า 3 และกรดไขมันโอเมก้า 6 ที่จะสร้าง " ไอโคซานอยด์ " ( eicosanoide ) ทำให้เลือดไหล ยับยั้งการอักเสบ แต่สำหรับกลุ่มของกรดไขมันโอเมก้า 6 จะทำให้เลือดเกิดการแข็งตัว คือพูดง่ายๆ จะทำหน้าที่ตรงข้ามและถ่วงดุลกัน
แล้วเราจะหากรดไขมันโอเมก้า 6 ได้จากไหน?
คำตอบคือ เราจะสามารถพบกรดไขมันโอมก้า 6 จาก ถั่งชนิดต่างๆ และน้ำมันพืช รวมไปถึงพบได้ในปลา ทั้งปลาน้ำเค็มและปลาน้ำจืด ตัวอย่างที่พบในปลาน้ำเค็มและปลาน้ำจืดในไทย
ปลาน้ำเค็ม
1. ปลาจะละเม็ดขาว ไขมันทั้งหมด 6.8 กรัมเราจะพบ กรดไขมันโอเมก้า 6 เท่ากับ 0.03 กรัม
2. ปลาทู ไขมันทั้งหมด 3.0 กรัม เราจะพบ กรดไขมันโอเมก้า 6 เท่ากับ 0.06 กรัม
ปลาน้ำจืด
1. ปลาดุกไขมันทั้งหมด 14.7 กรัมเราจะพบ กรดไขมันโอเมก้า 6 เท่ากับ 1.94 กรัม
2. ปลาสวายไขมันทั้งหมด 8.9 กรัมเราจะพบ กรดไขมันโอเมก้า 6 เท่ากับ 0.60 กรัม
3. ปลาตะเพียนไขมันทั้งหมด 7.4 กรัมเราจะพบ กรดไขมันโอเมก้า 6 เท่ากับ 1.11 กรัม
( ***เทียบจากส่วนที่กินได้ 100 กรัม)
เราจะเห็นได้ว่าทุกอย่างล้วนมีคุณค่าในตัวของมัน อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นคุณค่าของสิ่งนั้นหรือไม่ และ จะเราจะใช้ของสิ่งนั้นเป็นหรืไม่ หากเราใช้เป็นก็จะเกิดผลประโยชน์กับผู้ใช้อย่างสูงสุด และขอขอบคุณที่มา
ดร. ครรชิต จุดประสงค์
http://www.gelsquare.com
วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556
ความหมายของอาหารเสริม และ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
หลายคนคงเคยได้ยิน หรือรู้สึกคุ้นหูกับสองคำนี้ " อาหารเสริม" กับ " ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร "
และหลายคนก็คงสงสัยว่าสองคำนี้มีความหมายแตกต่างกันยังไง ? เรามาดูกันว่าสองคำนี้มีความหมายที่แตกต่างกันหรือมีความหมายที่เหมือนกันอย่างไร......
อาหารเสริม
อาหารเสริม หมายถึง อาหารที่แพทย์เสริมให้สำหรับเด็ก หลังจากที่เด็กมีอายุหลัง 6 เดือนไปแล้วเพื่อให้เด็กได้หัดเคี้ยว และรับสารอาหารอย่างอื่นนอกจากนม โดยเฉพาะผลไม้ต่างๆ เช่น กล้วย มะละกอสุก องุ่น (แกะเมล็ดออก) สับปะรดชิ้นเล็กๆ จะช่วยให้เด็กได้รับวิตามินซีเบื่อบำรุงเหงือก ฟัน และกระดูก เป็นต้น รวมไปถึงอาหารเสริมสำหรับสตรีมีครรภ์ด้วย เพื่อให้ได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จัดเป็นอาหารประเภทหนึ่งตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ซึ่งหมายถึงสิ่งที่เรารับประทานเข้าไปนอกเหนือจากอาหารหลัก ที่เราได้รับประทานเข้าไปเป็นปกติเพื่อเสริมสร้างบางอย่าง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็คือ การนำสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น สัตว์ทะเลน้ำลึก แร่ธาตุ พืชทะเลทราย เป็นต้น มาทำให้อยู่ในลักษณะของ แคปซูล ยาเม็ด ผง หรือของเหลว ที่มีจุเด่นในการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง ป้องกันโรค และสามารถทดแทนสารอาหารที่ร่างกายบกพร่องได้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)