วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

ไม่ใช่แค่กินสูตรนมสดและมะเขือเทศบำรุงผิว

   

           ตอนนี้กระแสการดื่มน้ำมะเขือเทศกำลังมาแรงในกลุ่มสาวๆวัยรุ่น  ทำให้หลายคนตื่นตัวและหาน้ำมะเขือเทศมาทานกันถึงขนาดเรียกได้ว่าเป็นมหากาพย์น้ำมะเขือเทศเลยที่เดียว  แต่ละคนก็จะเลือกทานในแบรน์ที่ตัวเองชื่นชอบ แต่ที่เรียกได้ว่าฮอตที่สุดในตอนนี้คงจะไม่มีใครเกิน  "น้ำมะเขือเทศดอยคำ"
           แต่เอ๊ะ.... นอกจากน้ำมะเขือเทศที่เราดื่มแล้ว มันยังมีวิธีอื่นที่ช่วยบำรุงผิวเรายังมีสูตรนมสดและน้ำมะเขือเทศที่ช่วยบำรุงผิวให้สาวๆ ถึงคราวที่สาวๆ ที่รักการดูแลสุขภาพผิวจะพลาดไม่ได้กับสูตรเด็ดที่ทาง http://naturalhealththailand.blogspot.com/ ได้คัดสรรมาฝาก




(ยกตัวอย่างนม  ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ทางการค้าแต่อย่างใด)



ส่วนผสม

       1  มะเขือเทศสุก  
       2  นมสด (หาได้ง่ายๆ  ตามร้านสะดวกซื้อ)       
 อัตราส่วน 1:1


วิธีทำ

             นำมะเขือเทศไปบดหรือยีให้เละพอประมาณ แล้วกรองน้ำมะเขือเทษออกด้วยผ้าขาวบาง หลังจากนั้นแยกฟองออกให้ได้น้ำมะเขือเทศได้ปริมาณเท่ากันกับนม นำ 2 อย่างมาผสมกัน แล้วใส่ในภาชนะ หรือขวดปิดฝาให้แน่น นำไปแช่ในช่องฟริช (หรือแช่ตู้เย็นเพื่อให้ส่วนผสมทั้งสองมีความเย็น)  หลังจากนั้นใช้สำลีแผ่นชุบน้ำมะเขือเทศกับนมสดที่เราทำไว้ทาให้ทั่วบนใบหน้าและลำคอ (หรือบริเวณใดก็ได้ที่เราต้องการ) ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำแร่ หรือน้ำอุ่น แล้วค่อยล้างด้วยน้ำเย็นตาม สุตรนี้สาวๆควรทำประมาณ 1-2 ครั้งต่อวันจะเห็นผลเร็วขึ้น 

             *หากใช้เสร็จควรนำกลับไปแช่ในตู้เย็นจะสามารถใช้ได้หลายวัน
               ที่มา : (be well นิตยาสารสุขภาพรายเดือน,2554:36)




วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558

สมุนไพรมหัศจรรย์น้ำคลอโรฟิลล์จากผัก 3 ชนิด



        สวัสดีครับ.....กลับมาเจอกันอีกหลังจากที่หายไปนาน  จนวันนี้ได้กลับมาเขียนบทความกับเกล็ดความรู้ดีๆที่นำมาฝากแฟนๆ กับบทความอาหารเสร็มเพื่อสุขภาพ  สำหรับคอร์ลัมนี้ก็เป็นบทความที่ 18 ที่ได้เขียนขึ้นมา และวันนี้ก็ถือโอกาสนำเกล็ดความรู้ดีๆ  มาฝากเช่นเคย

        ทางผู้เขียนเคยได้อ่านบทความบทความหนึ่งจากหนังสือ เกี่ยวกับคลอโรฟิลล์จากผักซึ่งน่าสนใจมาก วันนี้เลยถือโอกาสนำเกล็ดความรู้มาแบ่งปันให้ผู้ที่ชื่นชอบการดูแลสุขภาพ และผู้ที่กำลังมองหาผักสมุนไพรที่เรียกว่า นอกจากจะมีดีแล้วยังหาได้ง่าย เราจะมาทำความรู้จักกับสมุนไพรมหัศจรรย์น้ำคลอโรฟิลล์จากผัก 3 ชนิด  เราอาจจะเคยรู้มาบ้างว่าคลอโรฟิลล์คือสารสีเขียวที่อยู่ในใบไม้  แล้วมันทำหน้าที่อะไรหละ?  มันดียังไง?  แต่วันนี้เราจะทำความรู้จักกับน้ำคลอโรฟิลล์จากผัก 3 ชนิดใว่ามันคืออะไร  แล้วทำหน้าที่อะไรบ้าง






คลอโรฟิลล์ คืออะไร ?
        คลอโรฟิลล์เป็นสารที่มีสีในตัวเอง พบได้ในพืชทั่ว ๆ ไป และด้วยความที่คลอโรฟิลล์มีสีในตัวเอง จึงต้องคอยทำหน้าที่ดักจับพลังงานที่ส่องผ่านใบมาใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ แสง ซึ่งกระบวนการนี้จะเกิดขึ้นในชั้นคลอโรพลาสต์ (Chloroplasts) ของใบพืช โดยสารคลอโรฟิลล์จริง ๆ ไม่ได้อยู่ในพืชใบเขียวเพียงสีเดียว แต่ยังสามารถพบได้ในหมู่พืชชั้นต่ำ เช่น สาหร่าย ซึ่งคลอโรฟิลล์ที่อยู่ในพืชกลุ่มนี้ก็จะมีสีที่แตกต่างกันไป ดังนั้นคลอโรฟิลล์จึงสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม อันประกอบไปด้วย       

         1. คลอโรฟิลล์ a มีสีเขียวแกมน้ำเงิน พบในพืชชั้นสูงทุกชนิดที่สังเคราะห์แสงได้
         2. คลอโรฟิลล์ b มีสีเขียวแกมเหลือง พบในพืชชั้นสูงทุกชนิดและในสาหร่ายสีเขียว
         3. คลอโรฟิลล์ c พบในสาหร่ายสีน้ำตาลและสาหร่ายสีทอง แต่ไม่พบในพืชชั้นสูง
         4. คลอโรฟิลล์ d พบในสาหร่ายสีแดง แต่ไม่พบในพืชชั้นสูง
ที่มา : http://health.kapook.com/view125823.html


  สมุนไพรมหัศจรรย์น้ำคลอโรฟิลล์จากผัก 3 ชนิดที่เราพูดถึงมีอะไรบ้าง

 1 ใบย่าน่าง  มีคนเคยกล่าวไว้ว่า "ย่านาง เป็นสมุนไพรมหัศจรรย์" เกี่ยวกับประโยชน์และสรรพคุณมากมายของย่านาง ซึ่งทางภาคอีสานหมอยาโบราณเรียกย่านางว่า "หมื่นปี บ่ เฒ่า" แปลเป็นภาษากลางว่า "หมื่นปีไม่แก่" น้ำคั้นจากใบย่านางมีคลอโรฟิลล์สูงมาก ช่วยคุ้มครองและฟื้นฟูเซลล์ ปรับสมดุลของร่างกาย มีเบตาแคโรทีน แคลเซียม วิตามินเอ บี1 บี2 มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิตได้

2 ใบหม่อน จากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับใบหม่อนพบว่าในใบหม่อนมีสาร ดี เอ็น เจ (D.N.J)ซึ่งช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือด และยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและความดันในเลือดได้

3 ใบบัวบก เป็นพืชที่มีสารไกลโคไซค์ (Glycosides) หลายชนิดที่ให้ผลต้านการเกิดปฎิกิริยาออกซิเดชั่น ซึ่งไปลดความเสื่อมของเซลล์ในอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย ช่วยให้โรคต่างๆถูกบำบัดได้อย่างรวดเร็ว สารสารไกลโคไซค์ (Glycosides) จากใบบัวบกยังช่วยในการสร้างสารคลอราเจน ทำให้ผิวหนังเต่งตึงและช่วยชลอวัย
 





วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2558

คุณรู้หรือไม่? กระเจี๊ยบแดงมีสารต้านอนุมูลอิสระใกล้เคียงกับผลไม้ในตระกูลเบอรร์รี่

 

จากงานวิจัยกระเจี๊ยบแดงมีสารต้านอนุมูลอิสระ

ใกล้เคียงกับผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

          เชื่อว่าหลายคนคงเคยทาน และหลงไหลในรสชาติอันเปรี้ยวแบบมีเสน่ห์ของผลไม้ในตระบลูเบอรรี่ แน่นอนถ้าพูดถึงผลไม้ตระกูลเบอร์รี่  คงจะหนีไม่พ้น สตอร์เบอรรี่ เพราะเป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่เราคุ้นเคยและหาทานง่าย โดยเฉพาะในฤดูหนาวทางตอนเหนื่อของประเทศไทยนักท่องเที่ยวจะพากันไปสัมผัสกับอากาศหนาวเย็นและสิ่งที่ขาดไม่ได้ คือการไปชิมรสชาติอันหอมหวานของสตอร์เบอร์รี่
          
บลูเบอร์รี่ (Blueberry)
           หากคุณเป็นนักชิมผลไม้ในตระกูลเบอร์รี่ บลูเบอร์ลี่คงเป็นอีกอย่างที่พลาดไม่ได้ ด้วยรสชาติที่ไม่เหมือนใครและราคาค่อนข้างที่จะแพงทำให้มันโดดเด่น ขึ้นมาจากตัวอื่น  พบว่า มีประโยชน์ต่อร่างกายมาก ประกอบด้วยปริมาณใยอาหารสูง โดยเฉพาะเพคติน ทำหน้าที่ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และฟื้นฟูความจำให้ดีขึ้นในคนชรา  นอกจาดนี้ก็จะมี แครนเบร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ และอีกมากมายที่นิยมทาน  เพราะมีคุณประโยชน์โดยเฉพาะในเรื่องของสารที่ต้านอนุมูลอิสระ สถาบันวิจัยโภชนาการทางด้านสรีระศาสตร์ ได้ระบุว่าบลูเบอร์รี่จัดเป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุด ซึ่งผลจากการทดสอบค่าที่เรียกว่า “ORAC” (Oxygen Radical Absorbance Capacity) ได้แสดงให้เห็นว่าบลูเบอร์รี่สดจะมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าผลไม้สดและผักชนิดอื่น และที่บอกว่ากระเจี๊ยบแดงมีสารต้านอนุมูลอิสระนั้นจริงหรือไม้ ? 
    * ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับบลูเบอร์รี่ http://frynn.com/%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88/





กระเจี๊ยบแดง

ชื่อวิทยาศาสตร์ Hibiscus sabdariffa L.  วงศ์ Malvaceae
ชื่อสามัญ Rosella, Red Sorrel, Jamaica Sorrel
*หากอยากทราบข้อมูลของกระเจี๊ยบแดงเพิ่มเติมของกระเจี๊ยบแดงสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://naturalhealththailand.blogspot.com/2014/06/blog-post.html


           "จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ดอกกระเจี๊ยบมีสารต้านอนุมูลอิสระมากในปริมาณใกล้เคียงกับบลูเบอร์รี่ เชอร์รี่และแครนเบอร์รี่ จึงอวยประโยชน์ด้านป้องกันมะเร็ง ชะลอแก่ และช่วยให้เส้นเลือดอ่อนนิ่มน้ำต้มดอกกระเจี๊ยบแห้งมีสารแอนโทไซยานินสูง สารกลุ่มนี้เองเป็นสารหลัก (เกินร้อยละ ๕๐) ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอีก กลุ่มจะเป็นสารโพลีฟีนอลซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเช่นกัน สารโพลีฟีนอล ได้แก่ protocatechuic acid ไม่สลายไปเมื่อได้รับความร้อนนานๆ แต่สารแอนโทไซยานินในน้ำกระเจี๊ยบจะมีปริมาณลดลงเมื่อได้รับความร้อนต่อ เนื่องกันเป็นเวลานาน "
               ว้าวววววว...ต่อไปเราคงไม่ต้องง้อผลไม่ตระกูลเบอร์รี่กันแล้ว  ขอให้อร่อยกับน้ำกระเจี๊ยบแสนหวานให้ชื่นจนะคราบบบบ  ^^
          

 ที่มา : http://www.doctor.or.th/article/detail/1187