วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ไม่น่าเชื่อ "หอมแดง" “รักษาสิวอักเสบและลดรอยจุดด่างดำ” ในไม่กี่วัน!!!


                        ไม่น่าเชื่อ"หอมแดง" 
           “รักษาสิวอักเสบและลดรอยจุดด่างดำ”  ในไม่กี่วัน!!!


ถ้าพูดถึง “หอมแดง” หลาย ๆ คนคงจะนึกถึงเครื่องปรุงที่ช่วยดับกลิ่นคาวและเพิ่มรสชาติให้อาหารชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นไข่ลูกเขย ต้มโคล้ง แกงเลียง ต้มยำ ฯลฯ แต่คุณทราบหรือไม่ว่า หอมแดง นั้นนอกจากจะนำมาปรุงในอาหารแล้วยังมี ประโยชน์อีกมากมายโดยเคล็ดลับสุขภาพดีวันนี้จะพาคุณไปทำความ รู้จักกับประโยชน์ของหอมแดงในแง่มุมต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น   ใครกำลังกังวลหรือเครียดกับปัญหาสิวอักเสบ   ที่ผิวหน้าคงจะต้องรีบตั้งใจดูเคล็ดลับที่นำมาฝากกันหน่อยแล้วครับ    คือของของของ"หอมแดง" ที่สามารถช่วยบรรเทาอาการอักเสบบวมแดงของสิวได้อย่างดีและที่สำคัญยังประหยัดเงินในกระเป๋าไปได้มากอีกด้วย   



หอมแดง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Allium ascalonicum) เป็นพืชในวงศ์ Alliaceae โดยยึดเอา French grey challot หรือ griselle เป็นหอมที่แท้จริง จัดอยู่ในสปีชีย์นี้ มีการเพาะปลูกในเอเชียกลางและเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ส่วนความหลากหลายอื่นที่มีคือ Allium cepa var.aggregatum (หอมแบ่ง:multiplier onions) หรือที่รู้จักกันในชื่อ A. ascalonicum
เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ ของประเทศในถบ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยส่งออกหอมแดง ไปยังประเทศมาเลเซียเป็นจำนวนมาก การซื้อขายส่วนใหญ่เป็นหัวๆ ชั่งขายเป็นกิโลกรัม และมัดขายเป็นกำๆ แต่ก็ขายตามน้ำหนัก เช่นเดียวกัน[1] ในประเทศไทยปลูกกันมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ แต่หอมแดงที่มีชื่อเสียงว่าเป็นหอมแดงคุณภาพดีได้แก่หอมแดงจากจังหวัดศรีสะเก
จาก  :  วิกิพีเดีย  http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87

คุณค่าทางอาหา

คุณค่าทางอาหารของหอมแดง 
ในส่วนที่รับประทานได้ 100 กรัม คือ
มีน้ำเป็นส่วนประกอบ                                    88        กรัม
โปรตีน                                                            1.5       กรัม
ไขมัน                                                              0.3       กรัม
คาร์โบไฮเดรต                                                9          กรัม
ใยอาหาร                                                         0.7       กรัม
เถ้า (ash)                                                        0.6       กรัม
แคลเซียม                                                        36        กรัม
ฟอสฟอรัส                                                       40        กรัม
เหล็ก                                                                 0.8       กรัม
วิตามินเอ                                                           5          I.U.
วิตามินบี 1                                                         0.03     มิลลิกรัม
วิตามินซี                                                            2          มิลลิกรั
พลังงาน                                                            160      กิโลแคลอรี
ที่มา : อารีย์  โอบอ้อมรัก. 2553. 7 วัน 7 เมนู สมุนไพรไร้โรค. สำนักพิมพ์เอเชียบูรพา : กรุงเทพฯ

วิธีการใช้หอมแดงรักษาสิว
สรรพคุณ : นอกจากสรรพคุณทางยาในด้านอื่นๆ ของหอมแดงแล้ว หอมแดงยังมีสรรพคุณในการใช้รักษาปัญหาสิวด้วย เนื่องมาจากในหอมแดง มีสารที่ช่วยลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาสิวด้วย ทำให้สามารถช่วยลดการอักเสบของสิว ประเภทสิวอักเสบ ไม่ให้รุนแรงเพิ่มขึ้นได้
การนำไปใช้ : ใช้หอมแดงประมาณ 1-2 หัวเล็ก นำมาปอกเปลือก และล้างทำความสะอาด จากนั้น ให้ทำการหั่นและซอยบางๆ จนเป็นชิ้นขนาดเล็กๆ ให้นำเอาส่วนที่ได้นี้ มาพอกบริเวณหัวสิว ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออก ทำเป็นประจำทุกวันก่อนนอน จะทำให้สิวยุบเร็วขึ้น และไม่ทิ้งร่องรอยจุดด่างเอาไว้ด้วยค่ะ
         
ส่วนข้อควรระวังในการใช้ประโยชน์ จากน้ำหอมแดงคือ ในหัวหอมแดงจะมีสารกำมะถันซึ่งทำให้แสบตา แสบจมูกและทำให้ผิวหนังมีอาการระคายเคือง ปวดแสบปวดร้อน จึงไม่ควรทาบริเวณจุดที่ใกล้เคียงกับที่กล่าวมา 



วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

14 ตำแหน่งสิวบนใบหน้า บอกโรคได้




14 ตำแหน่งสิวบนใบหน้า บอกโรคได้!



ที่มา : http://health.kapook.com/view1637.html


โซนที่ 1 ,  3   หน้าผากด้านซ้าย
เกี่ยวข้องกับ การย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะ ต่อมหมวกไต
สาเหตุ   มีความเครียดสูง และเรื่องของการรับประทานอาหารที่ไท่เป็นประโยชน์   เวลาล้างหน้าล้างไม่ค่อยสะอาด  และทารองพื้นหรือแต่งคิ้ว มากไป

โซนที่ 2 หว่างคิ้ว
เกี่ยวข้องกับ  ตับ
สาเหตุ    อาจมีปัญหาในการย่อยแลคโทส (ดื่มนมไม่ได้)รับประทานอาหารรสจัดหรืออาหารกินอาหารดึกเกินไป

โซนที่ 4,10 ใบหูทั้ง 2 ข้าง
เกี่ยวข้องกับ   ผิวบริเวณหูนี้เป็นผลพวงของไต 
สาเหตุ   ล้างแชมพูหรือสบู่ออกไม่หมด ใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไป ดื่มกาแฟ แอลกอฮอล์หรือกินเนื้อสัตว์มากเกินไป

โซนที่ 5,9 แก้มทั้ง 2 ด้าน
เกี่ยวข้องกับ   แก้มส่วนบน ไซนัสและปอด แก้มส่วนล่าง เหงือก และฟัน
สาเหตุ   สูบ บุหรี่จัด หรือแพ้ควันบุหรี่ ภูมิแพ้ เป็นหวัดเรื้อรัง หรืออาจใช้บลัชออนและรองพื้นไม่เหมาะสม ถ้าเป็นริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้มอาจบ่งบอกถึงปัญหาเรื่องปอดหรือการหายใจ ถ้ามีสิวแบบเป็น ๆ หายๆ ที่แก้มด้านล่างอาจมีปัญหาเรื่องเหงือกและฟัน หรือโทรศัพท์มือถือไม่สะอาด

โซนที่ 6,8 รอบดวงตาทั้ง 2 ข้าง
เกี่ยวข้องกับ   ไต และปัญหาภูมิแพ้
สาเหตุ  เครื่องสำอางทีใช้อาจไม่เหมาะกับผิว หรือใส่แว่นที่เสียดสีมาก รอยคล้ำอาจเกิดจากการมีสารพิษตกค้างในร่างกายมาก หรือพักผ่อนน้อย เปลือกตาหากมีความระคายเคืองอาจมาจากการเป็นภูมิแพ้ หรือขาดสารอาหาร

โซนที่ 7 จมูก และเหนือริมฝีปาก
เกี่ยวข้องกับ   หัวใจ และระบบสืบพันธุ์
สาเหตุ   หากมีผิวสีแดงเข้มที่จมูก อาจบ่งบอกถึงโรคความดันโลหิตสูง การอุดตันหรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ บอกถึงผลกระทบจากฮอร์โมน เช่นกำลังมีประจำเดือน วัยทอง การใช้ยาคุมกำเนิด

โซนที่ 11,13 ใต้ริมฝีปากด้านซ้าย และขวา
เกี่ยวข้องกับ   รังไข่
สาเหตุ   อาจทำความสะอาดได้ไม่พอ หรือมาจากความสมดุลทางฮอร์โมน หากมีปัญหาการอุดตันช่วงใบหู อาจแสดงว่าฟันกรามมีปัญหา หรือว่าเพิ่งผ่าตัดฟันมา หรืออาจเกิดจากการมีรอบเดือน

โซนที่ 12 ปลายคาง
เกี่ยวข้องกับ   กระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก
สาเหตุ   อาจกินอาหารรสจัดเกินไปจนลำไส้มีปัญหาในการดูดซึม

โซนที่ 14 ลำคอ และหน้าอก
เกี่ยวข้องกับ   สมองและจิตใจ
สาเหตุ   ความเครียด    หากคุณมีสิวบริเวณนี้แล้วล่ะก็ แสดงว่าคุณกำลังเครียดสูง

  ที่มา : http://www.dek-d.com/board/view/2180575/ :  


วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สูตรลับหน้าใส ของสาวๆที่มักนอนผิดเวลา


การนอนเป็นสิ่งที่สำคัญคุณว่าไหม ????

นอนน้อย ส่งผลเสียกับร่างกายอย่างไร?

            การนอนหลับอย่างเพียงพอ ร่างกายของคุณจะทำการซ่อมแซมส่วนต่างๆของร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น ในขณะที่เราหลับสนิท การผลิต Growth hormone จะสูงขึ้นมาก ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้ช่วยทำการซ่อมแซมและสร้าง เซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกาย รวมถึง ผิวหนังของเราด้วย
            วัยรุ้นในปัจจุบันต้องเจอกับปัญญหาเหล่านี้   เพราะหลายๆคนใช้ชีวิตประจำวันอยู่กับหน้าจอและอินเตอร์เน็ต    จนลืมเวลาของการพักผ่อนทำให้เกิดปัญหาหลายหลายอย่างตามมา  โดยเฉพาะเรื่องของสุขภาพ      การพักผ่อนไม่เพียงพอ เท่ากับ การตัดช่วงเวลาในการทำการซ่อมแซมและสร้าง เซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกายให้น้อยลง ซึ่งผลลัพธ์ จะทำให้ ร่องลึกและริ้วรอยดูชัดขึ้น จุดด่างดำหายช้าลง แถมผิวพรรณยังดูหมองคล้ำ แห้งกร้าน ลงเช่นกัน



 การนอนกับผิวพรรณ

         การนอนหลับกับความงามเป็น 2 เรื่องที่สำคัญสำหรับสาวๆ ผิวพรรณที่สวยงามสามารถเสริมสร้างได้จากการนอนหลับที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากช่วงเวลาในการพักผ่อนนั้น สมองและร่างกายของคนเราจะใช้เวลานี้เพื่อซ่อมแซมเซลล์ผิวหนังหรืออวัยวะที่ สึกหรอ ดังนั้น การนอนหลับที่เหมาะสมและเพียงพอ จึงเป็นอีกปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพและความชราของผิว พรรณของมนุษย์ เพราะขณะที่เราหลับร่างกายของเราจะหลั่งสารที่ชื่อว่า "เมลาโทนิน" ที่ถูกสร้างมากที่สุดในเวลากลางคืนในขณะที่เราหลับ และจะถูกสร้างน้อยลงเมื่อเราตื่น 

สารหรือตัวยาที่ทำให้หน้าขาว 
ทราบหรือไม่ว่า สารหรือตัวยาชนิดใดที่ทำให้ผิวหน้าขาว 
กลูตาไธโอน
ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ต้านการเสื่อมของเซลล์ผิว ส่งผลให้ผิวหน้า ขาวสวยใส เปล่งปลั่งไร้รอยด่างดำ รวมถึงผิวทั่วเรือนร่าง เช่น ใต้วงแขน ริมฝีปาก และบริเวณหัวนม ให้ขาวอมชมพู
 
สารสกัดจากเปลือกสน
ทำให้ผิวขาวใส โดยลดปฏิกิริยาของผิวหนังเมื่อถูกแสงแดด ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ลดขนาดและความเข้มของฝ้า กระและช่วยปรับสภาพผิวให้กลับขาวใสขึ้น
 
สารสกัดจากเมล็ดองุ่น
สารต้านอนุมูลอิสระในเมล็ดองุ่น ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว ทำให้เนื้อเยื่อโครงสร้างผิวแข็งแรง ปกป้องเนื้อเยื่อโครงสร้างผิวจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ลดการเกิดริ้วรอย ลดความหยาบกร้าน หมองคล้ำ ทำให้ผิวใส เรียบเนียน
 
ชาเขียวสกัด  
ปกป้องและรักษาผิวจากการทำลายของมลภาวะ โดยเฉพาะแสงแดด ช่วยฟื้นฟูและปรับสภาพผิว ให้กลับคืนสู่สภาพปกติ ช่วยให้ผิวขาวขึ้นและชะลอการเกิดริ้วรอย
โคเอนไซม์คิวเทน
ช่วยลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว บำรุงผิวให้แข็งแรง ลดการเกิดริ้วรอย ด้วยการเร่งการผลิตคอลลาเจน ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ เพิ่มความชุ่มชื้นให้เซลล์ผิว ทำให้ผิวยืดหยุ่นแข็งแรง

วิตามินซี 
เสริมสร้างคอลลาเจน ช่วยลดการเกิดริ้วรอย ลดการถูกทำลายของเซลล์ผิวจากอนุมูลอิสระ ช่วยคงความแข็งแรงของผิว ช่วยผลัดเซลล์ผิวและเผยผิวขาวเนียน

 
สารสกัดจากมะเขือเทศ 
ลดรอยดำ และความหมองคล้ำจากแสงแดด ลดการถูกทำลายของผิว ช่วยปกป้องจาการทำลายของอนุมูลอิสระ ช่วยลดการเกิดริ้วรอย

 
วิตามินอี 
เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ลดเลือนริ้วรอย 
ซีลิเนี่ยม
 ลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว ทำงานเสริมกับวิตามินซี และ วิตามินอี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ กลูตาไธโอน
ที่มา :  http://women.mthai.com/beautytipandtrick/18552.html
สูตรพอกหน้าใสง่ายๆ
ส่วนผสม

  • ข้าวโอ๊ต 2 ช้อนโต๊ะ
  • มะเขือเทศลูกใหญ่ปั่นละเอียด 2 ลูก
  • น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
   นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมกัน ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15-30 นาทีแล้วล้างออก หากเหลือเก็บใส่กล่องแช่เย็นได้นาน 1 สัปดาห์

มันเทศช่วยให้ลดน้ำหนักได้ 3 กิโลได้ในชั่วข้ามคืน!!!


           

           เมื่ออาหารการกินในยุคปัจจุบันอุดมสมบูรณ์ มีสีสันสวยงาม รวมไปถึงรสชาติที่หลากหลายชวนให้ลิ้มลอง แต่อย่างไรก็ตาม “ความอ้วน” เป็นสิ่งไม่พึงประสงค์ที่ไม่มีใครอยากที่จะเป็นเจ้าของอย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะทำให้บุคลิกภาพดูไม่ดีแล้ว ยังได้โรคบางชนิดที่เป็นอันตราย อาทิเช่น ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคทางเดินหายใจหรือปอด เป็นต้น
         
           วัยรุ่นเป็นวัยที่มีความพิถีพิถันในเรื่องรูปร่างของตัวเองค่อนข้างมาก วัยรุ่นส่วนใหญ่มักจะมีความรู้สึกว่าควรจะลดน้ำหนัก ซึ่งบางคนก็ผอมอยู่แล้ว ก็ยังต้องการที่จะลดน้ำหนักให้ผอมลงไปอีก ความจริงแล้วการลดน้ำหนักโดยที่ไม่รู้ว่าน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติอยู่แล้วหรือไม่นับว่าไม่ถูกต้อง หากน้ำหนักตัวต่ำกว่าปกติแล้วยังไปลดน้ำหนักลงอีกก็จะเป็นอันตรายได้ ทั้งนี้เพราะน้ำหนักที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป ก็มีผลเสียต่อสุขภาพ  แต่ในวันนี้เรามีเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยน้อยเกี่ยวกับการลดความอ้วนมาฝากกัน   

มันเทศช่วยให้ลดน้ำหนักได้ 3 กิโลได้ในชั่วข้ามคืน!!!






          มันเทศช่วยให้ลดน้ำหนักได้ 3 กิโลได้ในชั่วข้ามคืน!!! กินเวลา 9.00 – 11.00 น. จะทำให้อิ่มท้องโดยไม่เพิ่มเอว-สะโพก 
หลายคนคิดว่า “มันเทศ” เป็นอาหารประเภทแป้งยิ่งกินยิ่งเพิ่มน้ำหนัก ขอให้ลองอ่านบทความนี้ดูก่อน จะพบว่ามันเทศกลับกลายเป็นอาหารลดน้ำหนักที่ได้รับการยอมรับกันทั่วโลก มันเทศมีวิตามินเอสูง ช่วยในเรื่องการมองเห็นได้เป็นอย่างดี มีสารอาหารทรงคุณค่าที่ทำให้ตับอ่อนแข็งแรง มีสารต้านอนุมูลอิสระ มีวิตามินบี 5 วิตามินบี 6 วิตามินซี วิตามินบีส่งผลโดยตรงกับการลดน้ำหนัก วิตามินซี ช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสวยงาม และทำให้ร่างกายแข็งแรง นอกจากนี้มันเทศยังมีโพแทสเซียม คอปเปอร์ แมงกานีส สารอาหารที่ป้องกันโรคมากมาย รวมถึงโรคมะเร็ง และยังมีเส้นใยอาหาร หรือไฟเบอร์ ในปริมาณสูงมาก ทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว จึงเหมาะมากกับการใช้เป็นอาหารลดน้ำหนัก

           ในมันเทศ 100 กรัมจะได้แคลอรี่ประมาณ 90-93 แคลอรี่ (ปริมาณความต้องการพลังงานของมนุษย์วันละ 1,800 – 2,000 กิโลแคลอรี่) อีกทั้งคนส่วนใหญ่จะกินมันเทศได้ไม่มากนัก เพราะมันเทศมีคุณสมบัติไปฟูในท้องทำให้อิ่มเร็ว  มันเทศมีอยู่หลายสี เช่นเหลืองอ่อน เหลืองจัด เหลืองส้ม และสีม่วง ทุกสีจัดเป็นแหล่งรวมวิตามินซี สารอาหาร และเส้นใยอาหาร มีข้อมูลว่า หัวมันเทศชนิดหัวสีเหลือง จัดเป็นแหล่งเบต้าแคโรทีนชั้นเยี่ยม วิตามินเอสูง อาจารย์ สุธิวัสส์ คำภา นักธรรมชาติบำบัดชื่อดัง กล่าวว่ามันเทศมีประโยชน์ในการลดน้ำหนักได้ โดยให้รับประทานในช่วงเวลา 9.00 – 11.00 น. ดร. กิลเลียน แมคคีธ นักโภชนาการอาหาร นักเขียน และพิธีกร รายการ You are what you eat จัดให้มันเทศเป็นอาหารลดหุ่นที่ช่วยให้ลดน้ำหนักได้ถึง 3 กิโลกรัม ได้ในชั่วข้ามคืน  
          มันเทศเป็นแหล่งวิตามินบี 6 ช่วยบรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน ช่วยให้ร่างกายผลิตพลังงานจากอาหารได้มากขึ้น และเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการลดน้ำหนัก มันเทศเป็นคอมเพล็กซ์คาร์โบไฮเดรตซึ่งปล่อยพลังงานช้า มีกากใยมาก ทำให้อิ่มท้องอยู่ได้โดยไม่เพิ่มเอวหรือสะโพก ทำให้ตับอ่อนแข็งแรง

          การกินมันเทศลดน้ำหนัก หมายถึงคุณได้กินของอร่อยๆ อิ่มท้องแต่ช่วยลดน้ำหนักได้แทนอาหารอื่น ไม่ใช่ว่าคุณจะกินอาหารเต็มที่เหมือนเดิม แล้วเสริมด้วยมันเทศนะ แบบนั้นก็ไม่ได้ช่วยลดน้ำหนักหรอกค่ะ... และทางที่ดีควรกิน "มันเทศต้ม หรือเผา" จะช่วยลดน้ำหนักได้กว่า มันเทศเชื่อม หรือมันเทศที่ทำเป็นขนมหวานต่างๆ
เครดิต: ชีวอโรคยา เรียบเรียงจาก www.foodslender.com 
บทความเกี่ยวกับภูมิปัญญาไทย โดย อาจารย์ สุทธิวัสส์ คำภา (นักธรรมชาติบำบัด) 
บทความ โดย ดร. กิลเลียน แมคคีธ นักโภชนาการอาหาร นักเขียน และพิธีกร รายการ You are what you eat จาก นิตยสาร Slimming มกราคม 2550 
ภาพ: ขอบคุณภาพจาก อินเตอร์เน็ต โดยนำมารวมกันเป็นภาพเดียว 

แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ 

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

เผยชื่อ สมุนไพร-ผักพื้นบ้านต้านโรคเบาหวานได้




>> เผยชื่อ สมุนไพร-ผักพื้นบ้านต้านโรคเบาหวานได้ <<




           

        แพทย์แผนไทยจัดแถลงข่าว สมุนไพรใกล้ตัวและผักพื้นบ้านต้านโรคเบาหวาน (กลุ่มสารนิเทศและวิเทศสัมพันธ์ กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก)

          แพทย์แผนไทย แนะ อย่ามองข้ามสมุนไพรใกล้ตัวและผักพื้นบ้านต้านโรคเบาหวาน ย้ำไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการก่อโรค เกิดภาวะแทรกซ้อนแน่นอน พบรุนแรงถึงเสียชีวิตเฉลี่ยวันละ 20 คน

          นายแพทย์สมชัย นิจพานิช อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก พร้อมคณะร่วมแถลงข่าวแก่สื่อมวลชนว่า วันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปี องค์การอนามัยโลก (WHO) และสมาพันธ์เบาหวานนานาชาติ (IDF) ได้กำหนดให้เป็นวันเบาหวานโลก (World Diabetes Day) จากข้อมูลของสมาพันธ์เบาหวานนานาชาติ (International Diabetes Federation: IDF) พบว่า โรคเบาหวานเป็นปัญหาสาธารณสุขที่เป็นสาเหตุการตายอันดับ 3 ของโรคไม่ติดเชื้อที่เป็นอันตรายถึงชีวิต โดยมีโรคแทรกซ้อนที่สำคัญจากภาวะเบาหวานซึ่งเป็นสาเหตุการตายคือ โรคไตวาย โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน บางรายประสบปัญหาตาบอด เนื่องจากจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีโอกาสเสี่ยงมากกว่าคนปกติถึง 25 เท่า และมีโอกาสถูกตัดขา จากแผลเนื้อตายเน่าบริเวณเท้ามากกว่าคนปกติถึง 40 เท่า 

          จากข้อมูลในปี พ.ศ. 2553 พบว่าทั่วโลกมีผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 285 ล้านคน และคาดการณ์ว่าอีก 20 ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 438 ล้านคน ทั้งนี้ผู้ป่วย 4 ใน 5 เป็นชาวเอเชีย สำหรับในประเทศไทย จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขในปี พ.ศ. 2553 พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรคเบาหวานทั้งหมด 6,855 คน หรือวันละ 19 คน คิดเป็นอัตราตายด้วยโรคเบาหวานเท่ากับ 10.8 ต่อแสนประชากร หากไม่มีการควบคุมจริงจัง คาดว่าจะมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า 

          นอกจากนี้ยังพบผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อน 107,225 คน คิดเป็นร้อยละ 10 โดยเป็นภาวะแทรกซ้อนทางตา ร้อยละ 38.5 ไตร้อยละ 21.5 และเท้าร้อยละ 31.6 ผู้ป่วยเบาหวานเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจหลอดเลือดและสมองสูงถึง 2-4 เท่าเมื่อเทียบกับคนปกติ และมากกว่าครึ่งพบความผิดปกติของปลายประสาทและเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ 

          นอกจากพันธุกรรมแล้ว พฤติกรรมการบริโภคอาหารเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมหรือตัดวงจรการเกิดโรคเบาหวานได้ ตามทฤษฎีการแพทย์แผนไทยใช้หลักการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ รวมถึงสิ่งแวดล้อม ดังนั้นผักพื้นบ้านอาหารเป็นยาจึงใช้ได้กับผู้ป่วยเบาหวาน 

          กรณีป่วยด้วยโรคเบาหวานแพทย์แผนไทยจะแนะนำให้ใช้รสชาติอาหารเป็นยาคือ รสขม ซึ่งปัจจุบันมีนักวิชาการจากองค์กรและสถาบันต่าง ๆ ทำการศึกษาวิจัยสมุนไพรและผักพื้นบ้านของไทยพบว่าหลายชนิดมีฤทธิ์ในการลดน้ำตาลในเลือด นำมาประกอบอาหารให้กับผู้ป่วยเบาหวาน ได้แก่ ตำลึง กระเทียม กะเพรา มะระขี้นก รากเตยหอม หอมใหญ่ ผักเซียงดา อบเชย หม่อน แห้ม ช้าพลู มะแว้งต้น มะแว้งเครือ อินทนิลน้ำ กรณีต้องการความหวานสามารถใช้หญ้าหวานแทนน้ำตาลได้ และสมุนไพรเร่งการหายของแผลคือ บัวบก


ตรวจเลือด
      
 สำหรับคนปกติจะมีน้ำตาลในเลือด 70-100 มิลลิกรรมต่อเดซิลิตร แต่ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีระดับน้ำตาลในเลือดเกินกว่า 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร 
          ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานคือ รับประทานอาหารมากเกินความต้องการ ขาดการออกกำลังกาย รับประทานอาหารไขมันสูง เครียด สิ่งที่สำคัญและไม่ควรมองข้ามสำหรับผู้ป่วยเบาหวานคือการออกกำลังกาย เช่น การเดินแทนการใช้รถ การทำความสะอาดบ้าน และเพื่อให้ได้ผลดีคนไข้ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายในการออกกำลังกาย ก็ควรเข้าชมรมออกกำลังกายในหมู่บ้าน เช่น การรำไทเก๊ก ฤาษีดัดตน เดินกะลา โยคะ หรืออื่น ๆ หากวันไหนไม่ได้ออกกำลังกายก็ควรขยับร่างกายให้มากที่สุด เช่น การเดินในสวน การรดน้ำต้นไม้

          ทั้งนี้ ผู้ป่วยเบาหวานที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกิน 400 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ไม่ควรออกกำลังกาย แต่ถ้าอยู่ช่วง 200-400 ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ นอกจากนี้กำลังใจของผู้ป่วยเป็นเรื่องสำคัญ ลูกหลาน และผู้เกี่ยวข้องต้องคอยให้กำลังใจ เพื่อไม่ให้คนป่วยเกิดอาการเครียดและท้อแท้ โดยอาจมีกิจกรรมอื่น ๆ เช่นการทำบุญตักบาตร นั่งสมาธิ ฟังเทศน์ เพื่อให้จิตใจสงบและผ่อนคลาย รวมถึงการนวดเท้ากระตุ้นให้ระบบไหลเวียนโลหิตเลี้ยงอวัยวะส่วนปลายลดอาการชา

ขอขอบคุณข้อมูลจาก กระทรวงสาธารณะสุข

#สุขภาพดีได้ที่นี่   #thailandonly  
ที่มา  :  https://plus.google.com/+PattananusornBlogspot/posts/KXLXTDGefVZ





วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ความลับของผิวสุขภาพดี

   

           ก่อนอื่นเรามารู้จัก  " อาหารเสริม"  กับ  " ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร   


          เนื่องจากการดำรงชีวิตของคนในสังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม    โดยรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา   ทำให้รูปแบบวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนไทยหายไป      ชีวิตประจำวันที่แสนจะเร่งรีบ  รีบตื่น  รีบแต่งตัว    รีบไปทำงาน    ทุกอย่างดูรีบกันไปหมดทำให้โอกาสที่จะดูแลใส่ใจตัวเอง  และคนในครอบกลายเป็นเรื่องไกลตัว  ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง   ทำให้หลายต่อหลายคนต้องหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 
          หลายคนคงเคยได้ยิน หรือรู้สึกคุ้นหูกับสองคำนี้  " อาหารเสริม"  กับ  " ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร "
และหลายคนก็คงสงสัยว่าสองคำนี้มีความหมายแตกต่างกันยังไง ?    เรามาดูกันว่าสองคำนี้มีความหมายที่แตกต่างกันหรือมีความหมายที่เหมือนกันอย่างไร......

อาหารเสริม

           อาหารเสริม  หมายถึง  อาหารที่แพทย์เสริมให้สำหรับเด็ก  หลังจากที่เด็กมีอายุหลัง 6 เดือนไปแล้วเพื่อให้เด็กได้หัดเคี้ยว  และรับสารอาหารอย่างอื่นนอกจากนม  โดยเฉพาะผลไม้ต่างๆ  เช่น  กล้วย  มะละกอสุก   องุ่น  (แกะเมล็ดออก)   สับปะรดชิ้นเล็กๆ   จะช่วยให้เด็กได้รับวิตามินซีเบื่อบำรุงเหงือก ฟัน  และกระดูก   เป็นต้น  รวมไปถึงอาหารเสริมสำหรับสตรีมีครรภ์ด้วย  เพื่อให้ได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน


ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

          ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร   จัดเป็นอาหารประเภทหนึ่งตามพระราชบัญญัติอาหาร    พ.ศ.  2522   ซึ่งหมายถึงสิ่งที่เรารับประทานเข้าไปนอกเหนือจากอาหารหลัก  ที่เราได้รับประทานเข้าไปเป็นปกติเพื่อเสริมสร้างบางอย่าง    ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็คือ การนำสารสกัดจากธรรมชาติ  เช่น  สัตว์ทะเลน้ำลึก  แร่ธาตุ     พืชทะเลทราย     เป็นต้น    มาทำให้อยู่ในลักษณะของ  แคปซูล   ยาเม็ด  ผง  หรือของเหลว   ที่มีจุเด่นในการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง    ป้องกันโรค    และสามารถทดแทนสารอาหารที่ร่างกายบกพร่องได้
        
           แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของ    ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสุขภาพผิว   ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมและมาแรงของสังคมในปัจจุบัน    โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวในปัจจุบัน เมื่อพูดถึงการดูแลสุขภาพผิวนั้น สาวๆคงจะหูผึ่งไปตามๆกัน สมัยนี้ใครๆก็ล้วนแต่ให้ความสนใจกับสุขภาพผิวของตนเอง หรือจะกล่าวได้เลยว่าไม่ใช่เฉพาะสาวๆ   แต่หนุ่มๆส่วนมากก็กลับมาสนใจเรื่องสุขภาพผิวกันเป็นจำนวนมากเช่นกัน     ทั้งสุขภาพผิวหน้าและผิวกาย.. ผิวหน้าที่มีสุขภาพดีนั้น ควรจะเป็นผิวหน้าที่เนียน ใส ไร้สิว เช่นเดียวกับผิวกายที่จะต้องไม่หมองคล้ำ ต้องแลดูสุขภาพดี.. แต่จะทำอย่างไรล่ะ?     


ความลับของผิวสุขภาพดี

      ผิวที่มีสุขภาพดี คือ ผิวที่เต็มไปด้วยพลังงานและความเปล่งประกาย  เมื่อระบบทำงานของผิวเป็นไปอย่างถูกต้อง  ผิวจะเนียนนุ่ม  ชุ่มชื่น  มีความยืดหยุ่น  และมีเลือดฝาด  ซึ่งหมายถึงระบบการไหลเวียนของโลหิตที่เป็นปกติ  ผิวจะสามารถบอกได้ว่าร่างกายของเราทำงานอย่างไร  ในขณะนั้นหากระบบป้องกันอนุมูลอิสระและการผลิตฮอร์โมนมีความสมดุล  ต่อมไขมันและต่อมเหงื่อไม่อุดตัน  และเติมความชุ่มชื่นให้ผิวได้แบบพอดีๆ อีกทั้งผิวดูสดใส  มีชีวิตชีวา  ไม่หยาบกร้านเพราะระบบการผลัดเซลล์ผิวที่เป็นไปอย่างสม่ำเสมอนั้น  ก็หมายถึงว่า  ระบบการทำงานของร่างกายขณะนั้นเป็นปกติและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพแต่หากเมื่อใดที่รู้สึกว่าผิวเสีย  หยาบกร้าน  มีสิวขึ้น  ผิวมัน  หรือแห้งผิดปกติ  ก็แปลว่าร่างกายกำลังมีปัญหานั่นเอง

      เราสามารถดูแลทั้งสุขภาพผิวและสุขภาพกายให้ดีได้พร้อมๆ กันด้วยการควบคุมความเครียด  กินอาหารที่ถูกต้องและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  เมื่อร่างกายต้องเผชิญความเครียด  ระบบไหลเวียนโลหิตจะเร่งการสูบฉีดเลือดไปยังหัวใจ  ตับ  และไตมากขึ้นโดยอัตโนมัติ  ซึ่งกระบวนการนี้จะไปขโมยเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวตามปกติออกไปอันเป็นสาเหตุให้ผิวขาดชีวิตชีวา

       นอกจากนี้ความเครียดยังสามารถทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยทำให้ผิวเกิดอาการแพ้และติดเชื้อโดยเฉพาะเชื้อไวรัสได้ง่าย  ดังนั้นเพื่อเป็นการคืนสมดุลให้ผิว  และป้องกันผิวจากการเจ็บป่วยต่างๆ  เราจึงต้องควบคุมและขจัดความเครียดให้ได้อาจจะด้วยวิธีการออกกำลัง  นั่งสมาธิ  หรือด้วยวิธีง่ายๆอย่างการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวซึ่งมีส่วนผสมที่ช่วยให้ผ่อนคลายและฟื้นฟูความกระปรี้กระเปร่า

อ้างอิงจาก     :   http://www.formumandme.com/article.php?a=610


วันนี้เรามีวิธีบำรุงผิวให้สวยใสสุขภาพดี ง่ายๆ 5 ขั้นตอน 
จากที่มา  :   
http://www.siamdara.com/ColumnGirl.asp?cid=5614



วิธีบำรุงผิว 5 ขั้นตอน

1. กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ
ดังนั้นเราจึงควรเลือกอาหารที่จะช่วยดูแลสุขภาพผิวพรรณอย่างถูกต้อง เช่น อาหารอุดมวิตามินเอ เช่น นมสด ผลิตภัณฑ์จากนม ตับ ฟักทอง แคร์รอต ผักบุ้ง ตำลึง อาหารพวกนี้นอกจากจะช่วยทำให้ผิวสวยแล้ว ยังช่วยซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อในร่างกายอีกด้วย

• อาหารอุดมด้วยวิตามินบี เช่น เนื้อปลา เป็ด ไก่ ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ• อาหารอุดมด้วยวิตามินซี เช่น ผักผลไม้ทั้งหลาย วิตามินซีในผักผลไม้จะช่วยทำให้ผิวหนังยืดหยุ่น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน• อาหารอุดมด้วยวิตามินอี เช่น จมูกข้าวสาลี ธัญพืชต่างๆ วิตามินอีจะช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน ป้องกันแผลเป็น• น้ำมันปลา ซึ่งมีกรดไขมันโอเมกา-3 จะช่วยฟื้นฟูผิวให้ดูมีสุขภาพดี• ดื่มน้ำให้ได้วันละ 2 ลิตร หรือ 6-8 แก้วต่อวัน เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว
 

2. ทำอารมณ์ให้แจ่มใสอยู่เสมอ
แม้อารมณ์จะมีความสำคัญโดยอ้อมกับผิวพรรณ แต่ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ เพราะถ้าอารมณ์หงุดหงิด โกรธง่ายจะทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดไม่ดี ท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ไม่อยากอาหาร ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ จึงส่งผลให้สุขภาพผิวแย่ไปด้วย 

3. พักผ่อนให้เพียงพอ
การพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยทำให้ใบหน้าดูสดใสเต่งตึง เนื่องจากผิวได้รับการซ่อมแซมในระหว่างหลับอย่างเต็มที่ การพักผ่อนในที่นี้ยังรวมถึงการผ่อนคลายในรูปแบบต่างๆ ด้วย เช่น การเล่นโยคะ บริหาร่างกาย นั่งสมาธิ อ่านหนังสือ เป็นต้น
  
4. ออกกำลังกาย
การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะช่วยให้โลหิตนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยขับถ่ายพิษหรือของเสียออกจากร่างกายทางเหงื่อได้ ผิวพรรณจึงดูสดใส เปล่งปลั่ง และมีเลือดฝาด

  
5. ดูแลความสะอาดของผิวพรรณ

เป็นวิธีช่วยเพิ่มเสน่ห์ของผิวพรรณได้อีกทางหนึ่ง เพราะจะทำให้ผิวสดชื่นปลอดจากเชื้อโรคหรือเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคผิวหนัง การอาบน้ำอุ่นอุณหภูมิพอเหมาะ (ประมาณ 38 องศาเซลเซียส) จะช่วยทำความสะอาดผิวหนังได้ดีมาก และยังกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด แต่หากอาบน้ำอุ่นจัดเป็นเวลานานเกินไปอาจทำให้อ่อนเพลียได้ง่าย สำหรับสบู่ที่ใช้ทำความสะอาดผิวควรมีค่า pH5 หรือน้อยกว่านั้นและควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำชนิดโฟม เพราะทั้งสบู่ที่มีฤทธิ์แรงและโฟมจะทำลายไขมันตามธรรมชาติที่เคลือบอยู่บนผิว ทำให้ผิวแห้ง หลังอาบน้ำควรทาครีมบำรุงผิวให้ทั่วตัว เพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว