เนื่องจากการดำรงชีวิตของคนในสังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา ทำให้รูปแบบวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนไทยหายไป ชีวิตประจำวันที่แสนจะเร่งรีบ รีบตื่น รีบแต่งตัว รีบไปทำงาน ทุกอย่างดูรีบกันไปหมดทำให้โอกาสที่จะดูแลใส่ใจตัวเอง และคนในครอบกลายเป็นเรื่องไกลตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำให้หลายต่อหลายคนต้องหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อนำมาทดแทนสารอาหารที่ร่างกายขาดไป กรดไขมันโอเมก้า 3 และ กรดไขมันโอเมก้า 6 จึงเป็นอีกทางเลือกของหลายต่อหลายคน แล้ว กรดไขมันโอเมก้า 3 และ กรดไขมันโอเมก้า 6 มีความสำคัญอย่างไร ?
สังคมที่เร่งรีบ |
จากกระแสที่มาแรงของกรดไขมันโอเมก้า 3 ทำให้เรารู้สึกคุ้นหูและตื่นตัวกับคำนี้มากขึ้น กรดไขมันโอเมก้า 3 ถือได้ว่ามีความจำเป็น และมีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย เช่น สร้างผนังเซลล์ของร่างกาย ไปกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เป็นต้น แต่ในขณะเดียวกันจะมีกี่คนที่รู้ว่า กรดไขมันโอเมก้า 6 ต้องมีควบคู่กันไปกับกรดไขมันโอเมก้า 3 ถือว่ามีความสำคัญไม่ต่างกัน เพราะถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งอาจทำให้เสียสมดุลของร่างกายได้
กรดไขมันโอเมก้า 3
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับกรดไขมันโอเมก้า 3 หรือที่เราเรียกกั้นสั้นๆ ว่า " โอเมก้า 3 "
กรดไขมันโอเมก้า 3 ( omega 3 หมายถึง ตำแหน่งของ carbon atom ในสายของกรดไขมันที่มีพันธะคู่ ซึ่งก็คือกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว เป็นหนึ่งในกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ( Essential fatty acid ) ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ) กรดโอเมก้า 3 มีอยู่สามชนิดที่สำคัญ1 กรดไขมันแอลฟาไลโนเลนิก ( Alpha linolenic acid : ALA )
2 กรดไขมันอีพีเอ ( Eicosapentaenic acid : EPA )
3 กรดไขมันดีเอชเอ ( Docosahexaenoic acid : DHA )
กรดไขมันโอเมก้า 3 สามารถพบได้ในอาหารชนิดต่างๆ เช่น กรดไขมันแอลฟาไนโลเลนิค (ALA) ส่วนใหญ่จะได้จากอาหารที่เป็นไขมันจากพืช เช่น น้ำมันถั่งเหลือง น้ำมันรำข้าว เป็นต้น ส่วนของกรดไขมันอีพีเอ ( EPA ) และดีเอชเอ ( DHA) จะได้จากสัตว์ แต่เราจะพบ ( omega 3 ) มากในปลาทะเลเขตน้ำเย็น เช่น ปลาซาลมอล แม็คคาเรล ซาร์ดีน แฮร์ริง เมนฮาเดน และทูน่า ฯลฯ (omega 3) สูงมากในอัตราส่วนระหว่าง 2.5-8 กรัม/เนื้อปลา 200 กรัม และมีผลการวิจัยพบว่าปลาทะเลไทยมี ( omega 3) เช่นกัน เช่น ปลาทู ปลารัง ปลาเก๋า ปลาโอ ฯลฯ แต่หากไครที่ชอบทานปลาน้ำจืดก็ไม่ต้องน้อยใจหรือเสียใจเพราะมีผลการวิจัยว่ามี ( omega 3 ) ในปลาน้ำจืดบางชนิด เช่น ปลาดุก ปลาสลิด ปลาสวาย ปลาช่อน ปลาตะเพียน ฯลฯ
แหล่งที่มาของกรดไขมันโอเมก้า 3 |
คุณประโยชน์ของกรดไขมันโอเมก้า 3
เนื่องจากกรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ต้องรับจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป หน้าที่หลักๆเลยของ กรดไขมันโอเมก้า 3 มีหน้าที่สร้างผนังเซลล์ของร่างกาย ดังนั้นผนังเซลล์จะประกอบด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 นอกจากนี้กรดไขมันโอเมก้า 3 ยังนำไปสร้าง " ไอโคซานอยด์ " ( eicosanoide ) มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย คล้ายๆกับฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น เช่น ไปกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้หลอดเลือดมีการขยายตัว
กรดไขมันโอเมก้า 3 จะสร้างไอโคซานอยด์ ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด เช่น ลิวโคไทรอิน ( leukotrienes ) พรอสตาแกรนดิน ( prostaglandins ) ทรอมบอกเซน ( thromboxanes ) และที่กล่าวมาก็จะมีหน้าที่แตกต่างกัน
กรดไขมันโอเมก้า 3 กับทารกและสตรีมีครรภ์
1. DHA : ( Docosahexaenoic acid ) ในน้ำมันปลา กรดไขมันโอเมก้า 3 มีความจำเป็นต่อการพัฒนาจอตา และพัฒนาสมองของทารก แต่ทารกจะไม่าสมารถสังเคราห์ DHA ได้ด้วยตัวเอง ( ต้องอาศัยน้ำนมจากแม่เป็นตัวช่วย ) มีการศึกษาวิจัยพบว่า ปริมาณกรดไขมันดีเอชเอที่เด็กได้รับมีผลโดยตรงต่อพัฒนาการจอตาของเด็ก และพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้หรือพัฒนาเซลล์สมอง โดย WHO ระบุว่าทารกแรกเกิดควรได้รับ DHA ไม่ต่ำกว่าวันละ 40 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม เพราะฉนั้นมารดา หรือหญิงที่ให้นมบุตรควรจะบริโภท DHA อย่างสม่ำเสมอเพื่อส่งไปยังลูกโดยผ่านทางรกและน้ำนม ทั้งนี้เด็กควรได้รับไขมันดีเอชเอทั้งแต่แรกคลอดจาก "น้ำนมเหลือง " ( colostrum) ของมารดา และน้ำนมแม่ซึ่งจะมีประโยชน์มาก
2. ป้องกันการคลอดก่อนกำหนดและทารกน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์
3. มีปริมาณกรดไขมันโอเมก้า 3 ในสมองต่ำ เสี่ยงต่อการเกิดโรคสมาธิสั้นในเด็กได้
4. สตรีที่ตั้งครรภ์ได้รับกรดไขมันโอเมก้า 3 ไม่เพียงพอ อาจเกิดความดันโลหิตสูงขณะทำคลอดได้ ( Preclampsia ) และอาจมีอาการซึมเศร้าหลังคลอดได้ ( Postpartum depression )
5. นมแม่มี EPA สูงกว่านมผงถึง 2.5 เท่า และมี DHA สูงกว่าถึง 30 เท่า ดังนั้นนมของมารดาถือว่ามีความสำคัญมากต่อทารก
กรดไขมันโอเมก้า 3 กับวัยเด็กและวัยกำลังเรียนรู้
1. DHA ในกรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นส่วนหนึ่งของเซลล์สมองและเซลล์ประสาท ซึ่งมีผลต่อสติปัญญาหากร่างกายได้รับในปริมาณน้อยหรือไม่เพียงพอ จะทำให้เซลล์สมองและเซลล์ประสาทลดประสิทธิภาพในการทำงานและการเรียนรู้ไปด้วย ผลการวิจัยของ ดร. จูดิธ เวริท์แมน แห่งสถาบัน MIT ผลการศึกษาพบว่าในเนื้อปลาอุดมด้วยกรดอะมิโน ( Thyrosine ) ซึ่งสามารถกระตุ้นสารสำคัญในสมอง คือ ( Nerephinephrine ) และ ( Dopamine ) ทำให้สมองมีความกระฉับกระเฉงและมีสมาธิ
กรดไขมันโอเมก้า 3 กับวัยทำงาน
1. คุณจะเห็นได้ว่าคนในวัยทำงานมักจะประสบกับความเครียดอยู่เป็นประจำ นั้นเพราะสมองทำงานหนักเกินไปและได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ หรืออีกนัยหนึ่งเป็นเพราะร่างกายขาด DHA
2. เมื่อมีปริมาณ DHA ที่เหมาะสมกับร่างกาย DHA จะผ่านเข้าไปเสริมสร้างการเจริญเติบโตของประสาทของเซลล์สมองที่เรียกว่า เดนไดรท์ ( Dendrite ) ที่มีหน้าที่ถ่ายทอดสัญญาณระหว่างเซลล์สมองด้วยกัน ทำให้สมองพร้อมกับการทำงานเสมอ
กรดไขมันโอเมก้า 3 กับคนวัยสูงอายุ
1. ในผู้สูงอายุมักจะเกิดภาวะสมองเสื่อม หรือโรคอัลไซเมอร์ ( Alzheimer's disease หรือ AD) ที่เกิดได้ง่ายกว่าคนในวัยอื่นๆ จากผลการทดลองโดยการให้ DHA กับผู้ป่วย พบว่าเมื่อมีการทดสอบมีความสามารถในการตัดสินใจ และการคำนาณได้มีประสิทธิภาพกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้ให้ DHA ในระยะเวลา 6 เดือน
2. EPA ลดการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุทางเดินหายใจ และลดการตอบสนองทางภูมิแพ้ และยังสามารถลดความถี่ของการเป็นหอบหืดได้
3. ช่วยให้อาการ เศร้า นอนไม่หลับ ไม่มีอารมณ์ทางเพศ มีอาการดีขึ้นมากกว่า 50%
4. จากข้อมูลพบว่าชาวเอสกิโมซึ่งกินปลาทะเลมากกว่าบุคคลทั่วไป จะป่วยเป็นโรคหัวใจน้อยมาก ( แต่ยังไม่มีผลการวิจัยที่แน่ชัดเกี่ยวกับเรื่องนี้)
กรดไขมันโอเมก้า 6
คืออะไร ? ไครรู้
ถ้าพูดถึงกรดไขมันโอเมก้า 6 หลายคนอาจจะไม่รู้จัก หรือไม่คุ้นหู ปัจจุบัน กรดไขมันโอเมก้า 6 ยังไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก หลายต่อหลายบทความเกี่ยวกับเรื่องของกรดไขมันโอเมก้าก็จะเน้นไปที่ กรดไขมันโอเมก้า 3 แต่วันนี้ผู้เขียนจะพาเราไปรู้จักกับกรดไขมันโอเมก้าหกกัน ว่าเค้าเป็นไคร มีหน้าตายังไง และที่สำคัญเค้าทำอะไร ???
ทั้งที่จริงแล้ว กรดไขมันโอเมก้า 6 มีส่วนสำคัญคือเป็นตัวถ่วงสมดุลของกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งร่างกายของคนเราจำเป็นต้องใช้ประโยชน์ทั้งสองชนิดนี้ กรดไขมันโอเมก้า 6 คือ กรดไขมันไลโลเลอิก
( Linoleic acid : AD) และกรดไขมันอะราคิโดนิก ( Arachidonic acid : ARA ) ร่างกายจะใช้ประโยชน์ของกลุ่มกรดไขมันโอเมก้า 3 และกรดไขมันโอเมก้า 6 ที่จะสร้าง " ไอโคซานอยด์ " ( eicosanoide ) ทำให้เลือดไหล ยับยั้งการอักเสบ แต่สำหรับกลุ่มของกรดไขมันโอเมก้า 6 จะทำให้เลือดเกิดการแข็งตัว คือพูดง่ายๆ จะทำหน้าที่ตรงข้ามและถ่วงดุลกัน
แล้วเราจะหากรดไขมันโอเมก้า 6 ได้จากไหน?
คำตอบคือ เราจะสามารถพบกรดไขมันโอมก้า 6 จาก ถั่งชนิดต่างๆ และน้ำมันพืช รวมไปถึงพบได้ในปลา ทั้งปลาน้ำเค็มและปลาน้ำจืด ตัวอย่างที่พบในปลาน้ำเค็มและปลาน้ำจืดในไทย
ปลาน้ำเค็ม
1. ปลาจะละเม็ดขาว ไขมันทั้งหมด 6.8 กรัมเราจะพบ กรดไขมันโอเมก้า 6 เท่ากับ 0.03 กรัม
2. ปลาทู ไขมันทั้งหมด 3.0 กรัม เราจะพบ กรดไขมันโอเมก้า 6 เท่ากับ 0.06 กรัม
ปลาน้ำจืด
1. ปลาดุกไขมันทั้งหมด 14.7 กรัมเราจะพบ กรดไขมันโอเมก้า 6 เท่ากับ 1.94 กรัม
2. ปลาสวายไขมันทั้งหมด 8.9 กรัมเราจะพบ กรดไขมันโอเมก้า 6 เท่ากับ 0.60 กรัม
3. ปลาตะเพียนไขมันทั้งหมด 7.4 กรัมเราจะพบ กรดไขมันโอเมก้า 6 เท่ากับ 1.11 กรัม
( ***เทียบจากส่วนที่กินได้ 100 กรัม)
เราจะเห็นได้ว่าทุกอย่างล้วนมีคุณค่าในตัวของมัน อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นคุณค่าของสิ่งนั้นหรือไม่ และ จะเราจะใช้ของสิ่งนั้นเป็นหรืไม่ หากเราใช้เป็นก็จะเกิดผลประโยชน์กับผู้ใช้อย่างสูงสุด และขอขอบคุณที่มา
ดร. ครรชิต จุดประสงค์
http://www.gelsquare.com